ตามประสาคนโสด

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การทานอาหารสำหรับสาว (อยาก)หุ่นดี


ผู้หญิงร้อยทั้งร้อย ใครก็ต้องอยากหุ่นดี แต่จะทำอย่างไรนี่สิที่เป็นเรื่องยาก เพราะแค่จะใช้ชีวิตประจำวันก็แสนจะวุ่นวาย การทานอาหารก็ต้องรีบเร่งไม่ค่อยได้ใส่ใจ ทำให้หลายคนเจอกับปัญหาความอ้วนตามมา ส่วนคนที่ทานเท่าไรก็ไม่อ้วนก็เป็นที่น่าอิจฉากันไป แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ อย่าเพิ่งไปอิจฉาตาร้อน เพราะเรามีเคล็ดลับการทานที่จะทำให้คุณดูหุ่นดีได้ไม่ยากมาฝาก...
 ขยันทานผลไม้
      หัดตัวเองให้เป็นคนชอบทานผลไม้และทานให้มากๆ แต่ต้องเลือกดูผลไม้ที่ไม่หวานเกินไป ส่วนผลไม้ต้องห้าม คือ ทุเรียน เงาะ ขนุน ลำไย ละมุด เป็นต้น
 ทานอาหารให้ครบทุกมื้อ
       การทานอาหารควรให้ความสำคัญกับอาหารมื้อหลักทั้ง 3 มื้อ คือ เช้า กลางวัน เย็น ซึ่งทานก่อน 6 โมงเย็น และหลังจากนั้นก็ไม่ควรทานอะไรอีก แต่ถ้าหากทนไม่ไหวก็ลองดื่มชาเขียวร้อนสักแก้วก็ช่วยให้หายอยากได้
ดื่มน้ำเป็นประจำ
       การดื่มน้ำก็สำคัญ ควรดื่มน้ำอย่างน้อยให้ได้วันละ 6-8 แก้ว
 เคี้ยวช้าๆ เข้าไว้
       หัดตัวเองให้เป็นคนเคี้ยวอาหารให้นานๆ อย่างน้อย 10 ครั้งต่อหนึ่งคำ เพราะไม่งั้นแล้วขืนคุณเคี้ยวเร็วจะทำให้คุณทานได้เยอะกว่าเดิม
อย่าทานพร้อมทำกิจกรรมอื่น
       ห้ามทานอาหารไปพร้อมกับทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ เล่นอินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่การนั่งรถ เพราะจะทำให้คุณทานได้มากกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว แล้วความอ้วนก็จะตามมาเป็นเงาตามตัวเลยทีเดียว
การดื่มนม
       หากก่อนนอนคุณต้องดื่มนม ไม่ว่าจะเป็นนมเปรี้ยว นมพร่องมันเนย ก็ควรดื่มก่อนนอน 4 ชั่วโมง
เบเกอร์รี่ได้ แต่น้อย
       จริงๆ แล้วถ้าอยากผอมก็ไม่ควรทาน แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ทานได้สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น แล้วก็ไม่ใช่ว่ากินแบบเต็มอิ่มนะคะ แค่ชิ้นสองชิ้นก็พอ
เชื่อมั่นในตัวเอง
       เลือกทานอาหารที่คุณเห็นว่ามีแคลอรีต่ำ ที่คุณเชื่อว่าเหมาะกับคุณ อย่าปล่อยให้เพื่อนๆ ชักจูง หรือท้าทายจนคุณปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอาหารที่มีไขมันสูงได้
หนึ่งจานก็เพียงพอ
      ถึงแม้ว่าคุณจะหิวมากแค่ไหนก็ตามให้สั่งอาหารมาทานก่อนหนึ่งจาน อย่าเพิ่งสั่งจานที่สอง เพราะแค่จานเดียวก็ทำให้คุณอิ่มได้ จำไว้เลยนะคะ หนึ่งจานต่อหนึ่งมื้อเท่านั้น
 เน้นผักมากกว่าเนื้อสัตว์
       เวลาที่จะทานอาหารให้สังเกตก่อนว่ามีผักในปริมาณแค่ไหน เนื้อสัตว์ก็เช่นกัน จากนั้นให้ทานผักก่อนแล้วตามด้วยเนื้อสัตว์หรือทางที่ดีก็เขี่ยเนื้อสัตว์ออกไปเลย
 เลี่ยงอาหารไขมันสูง
      อาหารไขมันสูงอย่างแกงกะทิ หรือน้ำอัดลมทุกชนิด ควรงดทานไปเลย เพราะถ้าทำได้จะทำให้ลดน้ำหนักลงได้ง่ายขึ้น
ชา กาแฟ วันละหนึ่งถ้วย       ถ้าเป็นไปได้หากใครที่ชอบทานชา กาแฟ โอวัลติน ควรทานแค่วันละ 1 แก้วก็พอ และถ้าไม่ใส่น้ำตาลเลยก็จะดีมาก
งดลูกอมทุกชนิด
       ลูกอมทั้งที่ทานเล่น หรือที่ใช้ระงับกลิ่นปากล้วนมีแต่น้ำตาลเป็นส่วนประกอบ เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรทานบ่อยๆ

       การเลือกทานอาหารที่เหมาะสมเป็นกิจวัตรแบบนี้ ก็จะทำให้คุณมีรูปร่างดีไร้ไขมันส่วนเกินแล้วล่ะค่ะแถมยังสุขภาพที่ดีอีกต่อหนึ่งด้วย
ที่มา ... woman story


อาหารเช้าลดน้ำหนัก


อาหารเช้าเป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน เพราะทำให้ร่างกายได้รับพลังงาน หลังจากที่ไม่ได้รับประทานอาหารมานานนับ 10 ชั่วโมง รวมถึงทำให้สมองแจ่มใส พร้อมที่จะเริ่มวันใหม่อย่างกระตือรือร้น และรู้ไหมว่า... อาหารเช้ามีผลกับความอ้วนอีกด้วย


        องค์การอนามัยโลกรายงานตั้งแต่เมี่อปี พ.ศ.2540 ว่า พบการระบาดของโรคอ้วนมากขึ้นทั่วโลกทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่พัฒนาแล้ว และคาดการณ์ว่า ภายในปี ค.ศ.2020 หรือ พ.ศ.2563 โรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน จะเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต โดยอัตราการเสียชีวิตจากโรคเหล่านี้จะเพิ่มสูงถึง 3 ใน 4 ของการเสียชีวิตทั้งหมด 


        โรคอ้วนหรือภาวะโภชนาการเกิน หมายถึง การที่ร่างกายมีไขมันสะสมอยู่มากเกินไป จนถึงจุดที่จะส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้น โรคอ้วนเป็นผลมาจากความไม่สมดุลกันระหว่างพลังงานที่ได้รับโดยการกิน กับพลังงานที่ใช้ในปฏิกิริยาเคมีและกิจกรรมต่างๆ ของร่างกาย ในทางโภชนาการความอ้วนเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับพลังงานมากกว่าพลังงานที่ร่างกายต้องการใช้ หรือใช้ไม่หมด เป็นผลให้เกิดการสะสมพลังงานที่เหลือใช้ในรูปของไขมันอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และเนื่องจากว่าโรคอ้วนกำลังระบาดอย่างหนักในทุกภูมิภาคของโลก งานวิจัยใหม่ๆ จึงมุ่งเน้นหาสาเหตุ วิธีป้องกัน รวมทั้งการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยโรคอ้วนมีสุขภาพที่ดีขึ้น มีอายุยืนยาวมากขึ้น จนทำให้พบว่า อาหารเช้ากับความอ้วนมีความเกี่ยวข้องกัน


        อาทิ ผลการศึกษาในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ.2011 ที่รายงานว่า สาเหตุหนึ่งของความอ้วนคืออาหารเช้า โดยพบว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารเช้า (breakfast skipper) มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนมากกว่าผู้ที่รับประทานอาหารเช้าสม่ำเสมอ โดยในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลี นั้น คนในวัยรุ่นและวัยทำงานมักมีกิจกรรมที่เร่งรีบในช่วงเช้าทำให้พลาดอาหารเช้าเป็นประจำ คนกลุ่มนี้จึงมีน้ำหนักตัว เส้นรอบเอว เส้นรอบสะโพก และดัชนีมวลกายมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่รับประทานมื้อเช้าสม่ำเสมอ


        นอกจากนี้การศึกษาในอาสาสมัครชาวอเมริกันจำนวน 173 คน ก็ยังพบว่า คนที่รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าคนที่พลาดอาหารเช้า นอกจากนั้นคนที่รับประทานอาหารครบทั้ง 3 มื้อต่อวัน จะมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าและมีแนวโน้มที่จะรับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อในปริมาณที่เหมาะสม ไม่รับประทานมื้อหนึ่งมื้อใดมากผิดปกติ ทำให้สามารถควบคุมน้ำหนักได้ดีกว่า ตรงข้ามกับคนที่พลาดอาหารมื้อเช้า ซึ่งจะรับประทานมื้อกลางวันและมื้อเย็นแบบมื้อใหญ่ ส่งผลให้อาหารที่รับทานโดยรวมต่อวันมีปริมาณมากกว่าปกติ จึงเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนได้ รวมถึงยังพบว่า การรับประทานอาหารเช้าเป็นประจำจะทำให้มีไขมันสะสมที่หน้าท้องหรือพุงน้อยกว่า ความดันโลหิตต่ำกว่า ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า โดยผู้ที่รับประทานอาหารเช้าทุกวันจะมีระดับไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลในเลือดต่ำกว่า อาหารเช้าจึงช่วยป้องกันโรคหัวใจและเบาหวานได้


         นอกจากอาหารเช้าและจำนวนมื้ออาหารที่มีความสำคัญแล้ว ชนิดของอาหารเช้าก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยผลการศึกษาในประเทศออสเตรเลียรายงานว่า อาหารเช้าที่สะดวก รวดเร็วและเป็นที่นิยม เช่น อาหารเช้าที่ประกอบไปด้วย กาแฟกับขนมปัง มีส่วนทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนเพิ่มขึ้นได้ด้วย เพราะปริมาณของน้ำตาลที่มีในชา กาแฟร่วมกับคาร์โบไฮเดรตที่มีในขนมปังในมื้อเช้า จะทำให้เกิดความอิ่มเป็นระยะเวลาสั้นๆ เป็นผลให้อาจจะต้องรับประทานของว่างในมื้อสาย ซึ่งมักเป็นขนมขบเคี้ยวที่สามารถรับประทานได้ขณะทำงาน และอย่างที่ทราบก็คือขนมขบเคี้ยวเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงแต่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ รวมถึงการรับประทานขนมปังและกาแฟเป็นอาหารเช้ายังทำให้คนกลุ่มนี้รับประทานอาหารมื้อถัดไปในปริมาณที่มากกว่าปกติ มากไปกว่านั้นกาเฟอีนที่พบในชาและกาแฟยังทำให้ร่างกายดื้อต่อการทำงานของอินซูลิน เป็นผลให้เกิดการสะสมไขมันที่พุงได้ด้วย 


         การศึกษายังพบว่าชนิดของอาหารเช้าที่ผู้ชายรับประทานสามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ถึงความใส่ใจต่อสุขภาพได้ โดยพบว่าผู้ชายที่เลือกอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางอาหาร มักจะออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่รับประทานระหว่างมื้อและไม่รับประทานอาหารที่ไม่มีคุณค่าในมื้ออื่นๆ เป็นต้น


        The American Academy of Pediatrics จึงแนะนำให้เด็กและวัยรุ่นเลือกรับประทานอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน ประกอบด้วยอาหารครบทั้ง 5 หมู่ อันได้แก่ ข้าว/แป้ง เนื้อสัตว์ ไขมัน ผักและผลไม้ เพราะการได้รับสารอาหารครบถ้วนในทุกมื้อนอกจากจะทำให้มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว ยังทำให้เด็กมีสมาธิในการเรียน มีความจำดี เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เร็ว และสามารถทำข้อสอบได้ดีกว่าอีกด้วย สำหรับคนวัยทำงานการรับประทาอาหารเช้า จะทำให้มีสมาธิ คิดเร็ว และทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อาหารเช้าที่ดีควรประกอบด้วย 
 - ข้าว/แป้ง ซึ่งให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โดยในมื้อเช้าควรเลือกรับประทานคาร์บไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ เพราะจะให้พลังงานอย่างช้าๆ และให้พลังงานได้นานกว่า ทำให้ไม่หิวบ่อย ร่างกายจะได้รับพลังงานจนถึงมื้อต่อไปได้ 
- เนื้อสัตว์ ให้สารอาหารโปรตีน เช่น นมสด เนื้อสัตว์ ไข่และถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น โดยอาหารประเภทโปรตีนเมื่อผ่านการย่อยจะให้กรดอะมิโน ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย นอกจากนี้กรดอะมิโนยังช่วยในการสร้างสารสื่อประสาท ทำให้การทำงานหรือการเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- น้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์ อาหารหมู่นี้เป็นแหล่งสำคัญที่ให้ไขมัน ซึ่งจะให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย ช่วยการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันและให้กรดไขมัน รวมถึงให้กรดไขมันที่จำเป็นแก่ร่างกายซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาทและสมอง 
- ผักใบเขียวและผลไม้ ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญที่ให้วิตามินและเกลือแร่ อาทิ วิตามินบีและโคลีน ที่ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง 
 เมื่ออาหารเช้ามีความสำคัญมากขนาดนี้ วันนี้คุณรับประทานอาหารเช้าหรือยัง
   ที่มา ... HealthToday 

6 วิธีลดคอเลสเตอรอล


1. วางเป้าหมาย โดยปกติแพทย์มักแนะนำให้มีระดับคอเลสเตอรอลไม่เกิน 70 แต่ถ้าคุณไม่ค่อยมีปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระดับคอเลสเตอรอลไม่เกิน 130 ก็ถือว่าใช้ได้ และยิ่งคุณไม่มีโรคประจำตัวและสุขภาพแข็งแรง ระดับคอเรสเตอรอลไม่เกิน 160 ก็ถือว่าโอเค

2. ขยับเขยื้อนร่างกาย การออกกำลังลังกายช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิด LDL ซึ่งเป็นไขมันที่ดี ในขณะเดียวกันก็ยังช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอล HLD ซึ่งเป็นไขมันดีโดยไม่ต้องออกกำลังกายอย่างหักโหม แต่ทำให้อย่างสม่ำเสมอ
3. ตัดไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีอยู่ในไขมันขาวๆ ของเนื้อสัตว์หนังสัตว์ปีกไข่แดง น้ำมันหมูเนย นม น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว แล้วหันมารับประทานอาหารที่ไม่มีไขมันอิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก ปลา เป็นต้น
4. กินไฟเบอร์เพิ่มขึ้น เพราะไฟเบอร์จะทำหน้าที่คล้ายฟองน้ำคอยดูดซับคอเลสเตอรอลไว้
5. กินปลาสิดี นอกจากจะช่วยลดคอเลสเตอรอลแล้ว ปลาบางชนิดยังมีโอเมก้า 3 ซึ่งปกป้องกันโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดในสมอง แต่ควรปรุงด้วยการต้มหรือแกง
6. ไม่สูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ระดับคอเลสเตอรอล HDL ลดลง ซึ่งจะเพิ่มโอกาสการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด และเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

กินได้กินดี…ไม่มีอ้วน?

เรื่องราวความเชื่อมีแฝงอยู่ในทุกๆ เรื่องของมนุษย์เราค่ะ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของการลดความอ้วน! เรามักจะโดนฝังหัวมาตลอดใช่ไหมคะสาวๆ ว่าทานอันนี้ได้ กินอันนี้ดี กินไอ้นี่เท่าไหร่ก็ไม่อ้วน กินอันนั้นเยอะๆ ไม่ได้ จะอ้วน จะบวม ฯลฯ เพราะเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่และเรื่องใกล้ตัวมากกว่าที่คิด ว่าแต่ …ไอ้เรื่องที่เชื่อๆ กันมานั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ใช่หรือมั่วกันล่ะคะสาวๆ ว่าแล้วเราก็มีความเชื่อเบาๆ ที่เกี่ยวกับเรื่อง “กิน” ล้วนๆ มาฝากกันค่ะ ...ที่ว่ากินได้กินดี จริงๆ แล้วมันดีจริงหรือเปล่า? ไปดูกันเลยค่ะ
        
 “ปลา” กินเข้าไป เท่าไหร่ก็ไม่อ้วน? 


         ปลาจัดได้ว่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างหนึ่ง เป็นหนึ่งในโปรตีนฮิตประจำเมนูไดเอ็ทของสาวๆ ก็ว่าให้เพราะในเนื้อปลา นอกจากจะมีไขมันที่เป็นอันตรายต่อร่างกายน้อย (ไขมันอิ่มตัว/ไขมันสัตว์ทั่วๆ ไป) ยังมีไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย (ไขมันไม่อิ่มตัว เช่น โอเมกา 3,โอเมกา 6) ซึ่งเป็นที่เชื่อกันว่า ไขมันไม่อิ่มตัวเหล่านี้ จะช่วยให้เราเกิดโรคที่มาจากไขมันในเลือดสูงได้ เช่น ความดันโลหิตสูง, ไขมันอุดตันในเส้นเลือด, หลอดเลือดโป่งพอง/แตก, โรคหัวใจ ฯลฯ
 เอ้า…ดูดีมีประโยชน์ซะขนาดนี้ทานไปเยอะๆ ก็ต้องดีแน่นอน แต่ว่า… ช้าก่อนค่ะ… ประโยชน์ของปลาตรงจุดนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องความอ้วนแม้แต่น้อย เพราะเรื่องความอ้วนนั้น เป็นผลมาจากพลังงานที่ร่างกายได้รับและพลังงานที่ร่างกายใช้ไป ไม่ได้เกี่ยวกับชนิดของไขมันที่ได้รับแต่อย่างใด แต่ที่เชื่อกันว่ากินปลาแล้วจะผอม เป็นเพราะในเนื้อปลา เมื่อเทียบเป็นน้ำหนักที่เท่าๆ กันกับเนื้อสัตว์อื่นๆ จะมีส่วนของโปรตีนค่อนข้างมากและมีไขมันค่อนข้างน้อยพูดง่ายๆ ว่าถ้าหากกินปลาเทียบกับกินเนื้ออื่นๆ ในปริมาณเท่ากัน เนื้อปลาก็จะให้พลังงานกับร่างกายน้อยกว่าแต่เถ้าคุณกินเปลาเข้าไปมากๆ จนเกินความจำเป็นของร่างกาย คุณก็มีโอกาสอ้วนได้เช่นเดียวกับการทานอาหารชนิดอื่นๆ นั่นแหล่ะค่า 


     กินผลไม้เข้าไป เท่าไหร่ก็ไม่อ้วน? 


         เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่ถูกครึ่งเดียวค่ะ เชื่อไหมคะว่าในผลไม้นั้นเมื่อเราบริโภคเข้าไป เราจะได้รับแคลอรี่จาก “คาร์โบไฮเดรต” โดยตรง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของ “ฟรุคโตส” ซึ่งเป็น “น้ำตาล” ธรรมชาติในผลไม้ แต่คาร์โบไฮเดรตไม่ได้มีเฉพาะในผลไม้เท่านั้น แต่พบในอาหารจำพวกพืช (plant foods) ทุกชนิดอีกด้วย ผลไม้บางชนิดก็มีน้ำตาลสูง แม้จะเป็นน้ำตาลจากผลไม้ก็ทำให้อ้วนได้เช่นกันค่ะ ผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงได้แก่ สับปะรด มะละกอสุก มะม่วงสุก องุ่น แอพริคอต ลิ้นจี่ แตงโม เป็นต้น
แต่หากทานผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ เส้นใยอาหารสูง รวมกับอาหารกลุ่มแป้งและไขมันน้อยลงก็จะช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้ค่ะ และการทานผลไม้เล็กน้อยทุกวันเป็นการเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้กับร่างกายอีกด้วย นอกจากนี้ยังได้รับวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยจากผลไม้ ซึ่งดีต่อสุขภาพ ดังนั้นการลดความอ้วนที่ดีเราจึงควรกินผลไม้ได้เป็นบางชนิดที่ไม่หวานมาก แต่ควรลดอาหารพวกแป้งและน้ำตาลลง โดยเฉพาะแป้งที่ขัดสี แป้งข้าวขาว ก๋วยเตี๋ยว พาสต้า ขนมปังขาว เพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงเกินไป และไม่ทำให้อ้วนค่ะ


    นมถั่วเหลือง ดื่มได้ ไม่อ้วน? 


       นมถั่วเหลืองและเต้าหู้ได้รับความนิยมในฐานะ ที่เป็นเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ช่วยลดอาการหลังหมดประจำเดือน และอาจช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้อีกต่างหาก ในเรื่องของการลดความอ้วน นมถั่วเหลืองกลายเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ เพื่อแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่สาวๆ มักจะงด หรือทานน้อยลง โปรตีนจากนมถั่วเหลืองนั้นย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์มากค่ะ แต่จริงๆ แล้ว นมถั่วเหลืองช่วยให้เราไม่อ้วนได้จริงหรือไม่?
การศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นหลายรายงานพบว่า การกินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองมากๆ (แบบที่หลายๆ สูตรแนะนำให้ทานแทนน้ำเปล่าก็มี) จะรบกวนการทำงานของต่อมไทรอยด์ ส่งผลทำให้ทำให้เพลีย หงุดหงิดง่าย และน้ำหนักขึ้นได้ กลไกที่เป็นไปได้คือ สารจากถั่วเหลืองไปรบกวนการนำไอโอดีนเข้าเซลล์ (iodine uptake) และในถั่วเหลือง 100 กรัม ยังมีสารไฟโทเอสโทรเจน (phytoestrogen) หรือฮอร์โมนพืชออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงอย่างอ่อน ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ทำให้ประสิทธิภาพในการเผาผลาญสารอาหารให้เป็นพลังงานลดน้อยลง ซึ่งเมื่อเผาผลาญได้น้อย พลังงานใช้ไม่หมด ก็แปรสภาพมาเป็นน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
อาหารทุกชนิดบนโลกล้วนมีทั้งประโยชน์และโทษค่ะ บางอย่างที่เป็นประโยชน์ หากกินมากเกินไปย่อมก่อให้เกิดโทษได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการรับประทานอย่างถูกต้อง และถูกวิธี ย่อมส่งผลต่อน้ำหนักที่ควบคุมได้อย่างมีหลักการ ไม่ใช่แค่เชื่อกันไปต่างๆ นานา และก็กินกันผิดๆ ต่อไป แล้วก็มานั่งสงสัยว่าทำไมน้ำหนักไม่ลงเสียที อย่างนี้ก็ต้องแก้ที่แนวคิดก่อนล่ะค่ะ
ที่มา ... chicministry

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

โยคะในการดูเเลสุขภาพ

โยคะ เคล็ดลับการออกกำลังกาย แบบง่ายๆ
การออกกำลังกายในยุคปัจจุบันไม่จำเป็นต้องทำเฉพาะกีฬากลางแจ้ง ในลม
แต่มีทางเลือกใหม่ให้สาวๆในยุคของการแข็งขันกับเวลา
เมื่อมีคำว่าเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องทุกอย่างก็จะดูเหมือนเร่งรีบไปทุกอย่าง
วันนี้ เราจึงหาท่าโยคะมาฝากค่ะ


โยคะไม่เพียงที่จะช่วยเรื่องความงามแต่ยังเสริมเรื่องของสุขภาพเอาไว้
ด้วย การฝึกโยคะ เป็นการฝึกท่าโยคะและค้างท่านั้นไว้ระยะหนึ่ง
โยคะจะเน้นความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลังทำให้เลือดและสาร
อาหารสามารถผ่านไปเลี้ยงประสาทไขสันหลัง
โยคะจะช่วยให้การทำงานของต่อมต่างๆรวมทั้งต่อมไร้ท่อทำงานดีขึ้น


การฝึกโยคะเป็นการยืดกล้ามเนื้อและมีการสอดคล้องกับการหายใจเป็นการรวม
กายและจิตร่วมกัน การฝึกท่าโยคะจะเป็นการฝึกประสาท ความยืดหยุ่น
ความแข็งแรง การทรงตัว ลดความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ
สุขภาพจิตและสุขภาพกายดีขึ้น
และยังช่วยกระชับส่วนต่างๆของร่างกายได้อีกด้วย
ท่าที่ใช้สำหรับการฝึกโยคะมีมากมาย แต่จะแบ่งท่าการฝึกดังนี้
ท่าที่เป็นหลักในการฝึกโยคะมีดังนี้


ฝึกโยคะ แก้ปัญหาปวดเมื่อย




สำหรับคนที่มีอาการปวดหลังการที่จะเปลี่ยนทุกอย่างให้ถูกวิธีก็คงต้องใช้
เวลาบ้าง นักกายภาพบำบัดจึงได้แนะนำ "การทำโยคะและฤๅษีดัดตน"
เพื่อลดอาการปวดเมื่อย
ซึ่งก็ถือเป็นการออกกำลังกายและช่วยยืดกล้ามเนื้อไปในตัวด้วย


– ท่าโยคะ ทำให้กล้ามเนื้อมีการผ่อนคลายและช่วยยืดกล้ามเนื้อ โดยเน้นการฝึกสมาธิและการหายใจเข้า – ออก


– ท่าโยคะลดอาการปวดคอ… เอามือประสานที่ท้ายทอย
และดันศีรษะไปทางด้านหน้า นับ 1 – 10
จะช่วยให้บริเวณกล้ามเนื้อคอแข็งแรงและมีเลือดมาไหลเวียนมากขึ้น


-
ท่านี้สำหรับผู้ที่สวมบรานานเกินไปจนทำให้เกิดการรัดบริเวณหัวไหล่ ต้นแขน
และสะบัก…เอามือประสานกัน ยืดออกไปทางด้านหน้าให้สุดแล้วค้างไว้โดยนับ
1-10


– ท่าฤาษีดัดตนเพื่อลดอาการปวดหลังและไหล่อย่างง่ายๆก็คือ
เอามือประสานกัน แล้วยืดแขนขึ้นไปด้านบนให้สุดจนรู้สึกตึงๆ
แล้วค้างไว้โดยนับ 1 – 10


เสร็จจากดูแลสุขภาพของอกสวยกันแล้ว ก็ยังมีเคล็ดลับสำหรับคนอกเล็กมาฝากกันด้วยละค่ะ…


ไม่เพียงจะช่วยเรื่องการปวดเมื่อยเท่านั้นการฝึกโยค่ะยังช่วยกระชับกล้าม
เนื้อได้อีกด้วย
ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยปรารถนาที่จะมีบันทายที่สวยงามได้สัดส่วน
โดยเฉพาะเวลาใส่กางเกงออกกำลังกายแบบรัดรูปหรือชุดว่ายน้ำแบบทูพีช
นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ตั้งแต่ลักษณะโครงสร้างของร่างกาย
การควบคุมน้ำหนัก
และที่สำคัญคือการบริหารเพื่อให้กล้ามเนื้อดูฟิตและเฟิร์มอยู่เสมอ


เราขอแนะนำท่าโยคะที่คุณสามารถบริหารบั้นท้ายของคุณให้กลมกลึงสวยกระชับ
ลองทำตามสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
แล้วคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในเวลาไม่กี่เดือน


ท่าภูเขา Tadasana (Mountain Pose)


ท่านี้เป็นท่าเริ่มต้น ให้ยืนตรงเท้าชิด ส้นเท้าและฝ่าเท้าตรงกัน
เหยียดเข่าให้ตึง เกร็งกล้ามเนื้อต้นขาให้เข่ากระชับ
เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ยืดอก หลังเหยียดตรงคอตั้งตรง ตามองตรงไปข้างหน้า
รักษาสมดุลของร่างกายให้น้ำหนักผ่านเป็นแนวตรงลงมาจากศีรษะ
ไหล่กึ่งกลางสะโพก ข้อเข่า ข้อเท้า และไปยังฝ่าเท้าทั้งสองข้างแขนวางแนบลำตัว
ท่างู Bhujangasana (Cobra Pose)
นอนคว่ำอยู่บนพื้น เท้าเหยียดตรง มือวางไว้ข้างลำตัว
หน้าหันไปข้างใดข้างหนึ่ง กดเท้า กล้ามเนื้อต้นขา และ สะโพกลงบนพื้น
หายใจเข้าพร้อมกับหันหน้าตรง เอาคางจรดพื้น เหยียดข้อศอก ยกศีรษะ ไหล่
หน้าอก และเอวให้สูงขึ้น โดยส่วนที่ยังกดอยู่บนพื้นคือ บริเวณหน้าท้อง
ต้นขา และเท้า ให้ค้างท่านั้น 15-30 วินาที หายใจตามปกติ

ท่าแมงป่อง


คุกเข่าลงที่พื้น โน้มตัวไปข้างหน้าวางศอกและแขนด้านในราบไปกับพื้น
ให้ฝ่ามือคว่ำลง แขนควรห่างกันประมาณ 1ช่วงไหล่
ยื่นศีรษะไปข้างหน้าและยกให้สูงที่สุด ยกสะโพกขึ้น วางเท้าให้มั่นคง


หายใจเข้าและแกว่งขาขึ้นไปเหนือศีรษะ รักษาสมดุลของร่างกายไว้
ยกขาตรงขึ้นเหนือศีรษะ ค่อยๆ งอเข่าและปล่อยขาลงมาทางด้านศีรษะ
ระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป
และอย่าทิ้งขาลงไปไกลเกินไปขณะรักษาสมดุลของร่างกายไว้ ทำย้อนกลับจากข้อ 5
จนกลับไปสู่ท่าคุกเข่า
คำแนะนำ


ไม่ควรลองท่าแมงป่องจนกว่าคุณจะสามารถทำท่าที่ต้องใช้สมดุลของร่างกาย
อื่นๆ (เช่น ท่าเอกบาทอาสนะ) และท่ายืนด้วยศีรษะ (ศีรษะอาสนะ) ได้แล้ว
ผู้เริ่มทำท่านี้ใหม่ ๆ ควรมี ครูฝึกควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด
ครั้งแรกๆอาจลองทำท่านี้ใกล้ๆผนัง วางตำแหน่งตัวคุณเมื่อทำท่า ตามข้อ 1
ให้ศีรษะอยู่ห่างจากผนัง 2-3 ฟุต หากเสียสมดุล กระดูกสันหลัง
และอกนับเป็นท่าที่รวม เอาประโยชน์ที่ได้จากท่าจักรอาสนะ (ท่ากงล้อ)
และศีรษะอาสนะ (ท่ายืนด้วยศรีษะ) เข้าไว้ด้วยกัน ความหลากหลายของท่า


ท่านี้สามารถทำได้ 2 แบบดังต่อไปนี้
เมื่อทำท่าแมงป่องได้ดังอธิบายข้างต้นแล้ว
ให้ค่อยๆยกขาขึ้นจนขาอยู่เหนือศรีษะ ท่า นี้ต้องใช้แรงและการทรง
ตัวมากว่าท่าแมงป่องที่อธิบายไว้ข้างต้น
เมื่อทำท่าแมงป่องได้ดังอธิบายข้าง ต้นแล้ว ให้ค่อยๆปล่อยขาลงมา
ดึงเท้าให้เข้ามาใกล้ศีรษะจนส้นเท้าวาง อยู่บนส่วนบนของศีรษะ
ท่านี้ทำให้ร่างกาย ต้องเป็นรูปโค้งอย่างมาก จึงสร้างความยืด
หยุ่นให้กับกระดูกสันหลัง ได้มากกว่า ระยะเวลา / การทำซ้ำ


ให้คงท่าแมงป่องไว้ตราบเท่าที่ยังรู้สึกสบายอยู่
อย่าคงท่านี้ไว้นานเกินไป
เพราคุณควรเก็บแรงไว้ตอนสุดท้ายของท่านี้โดยไม่ให้ตกลงมา
แรกๆควรคงท่านี้ไว้ 20-30 วินาที เพิ่มระยะเวลาเมื่อคุณชำนาญขึ้น


***ข้อควรระวัง เช่นเดียวกับท่ากลับหัวอื่นๆ ท่าชวังคอาสนะ ไม่เหมาะกับสตรีมีรอบเดือน

ช่วยตับขับพิษด้วยการเลือกอาหาร


ช่วยตับขับพิษด้วยการเลือกอาหาร (คู่หูเดินทาง)

          ตับ เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ขับสารพิษออกจากร่างกาย ดังนั้น การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพตับเป็นประจำจะช่วยแบ่งเบาภาระให้ตับได้ ซึ่งการที่ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพย่อมส่งผลให้ร่างกายมีพลังมากขึ้น
          นอกจากหน้าที่ในการขับสารพิษแล้ว ตับยังช่วยในกระบวนการย่อยอาหารและเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายต้องการ ตับช่วยลดการติดเชื้อ โดยช่วยขจัดของเสียออกจากร่างกาย หากมีตัวช่วยที่เราสามารถนำเข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระของตับได้น่าจะเป็นการดี และอาหารนี่แหละที่จะช่วยการทำงานของตับได้
          อาหารอันดับต้น ๆ ที่ช่วยตับในการล้างพิษได้แก่ กระเทียม หัวหอม มะนาว ผักใบเขียว ดอกกะหล่ำ และกะหล่ำปลี เพราะจะทำให้สารพิษที่เจือปนมากับอาหารอื่นนั้นมีสภาพเป็นกลาง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการผลิตน้ำดีซึ่งช่วยทำความสะอาดกระเพาะอาหารและลำไส้ รวมถึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว  
          ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงได้แก่ องุ่น ส้ม แคนตาลูป มะละกอ พรุน ลูกเกด ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ จะช่วยปกป้องตับจากสารอนุมูลอิสระที่จะมีปริมาณสูงขึ้นในกระบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย


          นอกจากนี้อาหารที่มีวิตามินบีสูง อย่างธัญพืชที่ไม่ขัดสีต่าง ๆ และผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี อย่างพืชที่มีรสเปรี้ยวและผักใบเขียวทั้งหลายจะช่วยในกระบวนการล้างพิษของตับ
          ส่วนอาหารที่มีสารเลซิติน ก็จะช่วยเสริมการทำงานของตับด้วย ซึ่งมีมากในไข่แดง ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก เนื้อปลา
          ส่วนธาตุสังกะสี ที่มีมากในเนื้อสับ ถั่วขาว เนื้อไก่และหอยนางรมก็ช่วยให้ตับทำหน้าที่ได้ดีขึ้น และไม่ควรทานอาหารที่มีไขมันสูง เพราะตับสามารถผลิตคลอเลสเตอรอลได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว
          สิ่งสำคัญในการป้องกันอันตรายให้แก่ตับ และเพื่อหลีกเลี่ยงโรคตับแข็ง คือควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้อวัยวะหนึ่งเดียวนี้ช่วยขับพิษให้ร่างกายได้อีกนาน รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ




ที่มา http://health.kapook.com/view39886.html

ผิวมัน รูขุมขนกว้าง แก้ได้อย่างไร

ใบหน้าคนเรามีลักษณะผิวที่ไม่เหมือนกัน หากไม่ได้รับการบำรุงบ้างก็จะทำให้ผิวหน้าคุณมีสุขภาพผิวที่ไม่ดี โดยเฉพาะปัญหารูขุมขนกว้างที่เป็นปัญหาหนึ่งที่หลาย ๆคนกังวลใจ บริษัทเฮลท์คอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง แบรนด์ PROVAMED มีคำแนะนำในการดูแลรักษา แก้ไขปัญหาสำหรับคนที่มีผิวมันและรูขุมขนกว้างดังนี้ รูขุมขนกว้าง มักพบในคนที่มีผิวมันหรือผิวผสม เพราะว่า ประเภทผิว ลักษณะดังกล่าวนี้ จะมีน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ ที่ต่อมไขมันสร้างขึ้นมามาก โดยเฉพาะบริเวณทีโซนของใบหน้า ได้แก่ หน้าผาก จมูก และ คาง ทางออกของน้ำมันหล่อเลี้ยงผิว ที่สร้างขึ้นมานั้น ก็คือ รูขุมขน ดังนั้นเมื่อสร้างน้ำมันหล่อเลี้ยงผิว ออกมามาก รูขุมขน ก็จะขยายกว้าง ซึ่งเรามักจะพบ ปัญหา รูขุมขนกว้าง ในคนที่มีผิวมัน หรือ ผิวผสม นอก จากสาเหตุนี้แล้ว ก็ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ รูขุมขนกว้าง คืออายุที่มากขึ้น รูขุมขน ก็ดูกว้างขึ้นตาม ก็เพราะว่า ผิวของเราเริ่มหย่อนคล้อย และ ไม่ตึงกระชับ จากเส้นใยคอลลาเจน และ อิลาสตินที่ผิวของเรา เริ่มเสื่อมลง ผิวที่เคยเรียบเนียน ก็จะเริ่มดูหยาบกร้าน รูขุมขน ขยายกว้างขึ้น ถึงแม้ว่า ปัญหา รูขุมขนกว้าง จะแก้ไม่ได้ 100% แต่ก็มีวิธีแก้ไขได้ ดังต่อไปนี้ วิธีแก้ไข รูขมขนกว้าง มีดังนี้


1. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดความมันและกระชับรูขุมขน เช่น โทนเนอร์ ?,oil control ?ทรีทเมนต์กระชับผิวที่ช่วยได้ เช่น การกระชับผิวด้วยคลื่นเสียงหรือเครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อผิวหน้า
2. รักษาความสะอาด การล้างหน้าให้สะอาด ต้องสะอาดจริงๆ สำหรับผู้หญิงแต่งหน้าต้องล้าง เครื่องสำอาง ให้เกลี้ยง (ขั้นตอนนี้สำคัญที่สุดสำหรับคนผิวมันสิวเป็นง่าย เป็นรอยสิวง่าย รูขุมขนกว้างๆ ผิวหยาบ ) ถ้ามีสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตันอยู่ในรูขุมขนผิวหน้าก็จะผลิตน้ำมันส่วนเกินออก มาซึ่งจะทำให้สิ่งสกปรกฝังตัวอยู่ในรูขุมขนมากขึ้น และทำให้รูขุมขนมีขนาดกว้างและใหญ่ขึ้นอีกด้วย จึงควรทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดหมดจดวันละ 2 ครั้ง สครับ ผิวหน้า อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1-2 นาที
3. ระหว่างวันพยายามอย่าไปสัมผัสหน้าบ่อยๆ ฝึกให้ชิน เพราะมือเราจะเป็นแหล่งแบคทีเรียไปกระตุ้นให้สิวขึ้นและมันยิ่งขึ้นมากไป กว่าหลีกเลี่ยง แสงแดดเด็ดขาด
4. งดบุหรี่ นอนหลับให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ
5. ใช้มาส์กพอกหน้าเพื่อทำความสะอาดอย่างล้ำลึกและขจัดสิ่งอุดตันในรูขุมขนออก ไปสัปดาห์ละครั้ง 6. อย่าบีบ การบีบรูขุมขนเพื่อพยายามจะทำให้มันดูเล็กลงนั้นเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรทำ อย่างยิ่ง เพราะนั่นอาจสร้างความระคายเคืองให้แก่ผิวหน้าจนอาจนำไปสู่อาการอักเสบและ ติดเชื้อได้ สูตรลับจาก


ธรรมชาติที่ช่วยรักษารูขุมขนกว้าง ได้แก่
1. มะเขือเทศ จะมีกรดชนิดหนึ่งที่ช่วยทำความสะอาดรูขุมขน ช่วยลดการเกิดสิวบนใบหน้าด้วย วิธี คือ ต้องปอกเปลือกออกก่อน แล้วฝานเป็นแผ่น ๆ นำเมล็ดออก จากนั้นนำมาปั่นให้ละเอียดหรืออาจจะขยำจนเละและไม่จับเป็นก้อน แล้วนำมาทาบนหัวสิว ระวังอย่าให้เข้าตา และทิ้งไว้ 10 ถึง 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น แต่ถ้าใครลองแล้วมีอาการแสบ ๆ ละก็แสดงว่าเกิดอาการแพ้ ให้รีบล้างออกทันที
2. ไข่ไก่ มีสรรพคุณในการช่วยกระชับผิว กระชับรูขุมขน เหมือนกับพวกโทนนิ่งโลชั่น วิธี คือ ให้ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดก่อน หรืออาจจะใช้น้ำนมก็ได้ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผิวสดชื่น จากนั้นตอกไข่ใส่ชาม แยกไข่ขาวออกจากไข่แดง ใช้เฉพาะไข่ขาวทาบนใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น จากนั้นก็ทามอยส์เจอไรเซอร์ปิดท้าย
3. กล้วยหอมหรือกล้วยน้ำว้า หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เติมน้ำผึ้งหรือนมลงไปบดหรือขยี้ให้ละเอียดจนรวมเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ซับหน้าให้แห้ง จะช่วยกระชับรูขุมชนและทำให้ผิวหน้าสะอาดขึ้นด้วย
4. แตงกวา มีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นขณะที่น้ำผึ้งช่วยกระชับรูขุมขน เริ่มจากนำแตกกวาประมาณ 1-2 ชิ้น มาปั่นรวมกับน้ำผึ้งจนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หรือรอจนกว่าจะแห้ง แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำเย็น ซับหน้าให้แห้งจะรู้สึกได้ว่าหน้าเต่งตึงขึ้น นอก จากเคล็ดลับดังกล่าวแล้ว ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสม ซึ่งในปัจจุบันนี้มีครีมสำหรับกระชับรูขุมขนให้เลือกใช้มากมายลองเลือกใช้ แบบที่เหมาะกับผิวหน้าของคุณ ส่วนใหญ่คนที่มีรูขุมขนกว้างมักจะเป็นคนผิวมันเพราะฉะนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์ กระชับรูขุมขนที่มีเนื้อบางเบา เช่น Provamed Pore Minimizer Gel Cream ที่ซึมซับง่ายและไม่ทิ้งความมันส่วนเกินไว้บนใบหน้า โดยใช้หลังจากล้างหน้าหรืออาบน้ำก่อนนอนซึ่งเป็นเวลาที่รูขุมขนเปิดและผิว หนังจะซึมซับครีมบำรุงได้ดีที่สุด

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555


    โยคะเพื่อสุขภาพ


    หลักสำคัญของการฝึกโยคะ [ Objectives ]
    หายใจแบบโยคะให้ถูกต้อง : หายใจเข้า - ท้องพอง, หายใจออก - ท้องแฟบ
    • สูดอากาศเข้าให้พอดีกับท่าฝึก เพื่อให้ได้ออกซิเจนมากพอ
    • ปล่อยลมหายใจออกให้สุด เพื่อขับอากาศเสียออกจากร่างกาย และลดความตึงเครียด ของกล้ามเนื้อ
    • หายใจเข้า - ออก ให้สอดคล้องเป็นจังหวะกับท่าฝึกแต่ละท่า
    ฝึกท่าแต่ละท่า ช้าๆ เป็นจังหวะที่ลงตัว ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย ตามข้อจำกัดธรรมชาติร่างกายของแต่ละบุคคล อย่าฝืนเกินไป เช่น ยืดตัวมากเกินไป เกร็งเกินไป ตึงมากไป บิดมากเกินไป
    • สำหรับผู้ที่ผลการตรวจสอบไม่ผ่าน ควรฝึกเฉพาะท่าหายใจ และท่าอุ่นร่างกาย (warm-up) ที่แนะนำเท่านั้น หรือ รับการฝึกกับครูโยคะที่มีวุฒิบัตรการสอนโยคะเท่านั้น
    • ผู้มีปัญหาด้านสุขภาพแต่ละประเภท ให้บันทึกท่าฝึกที่ห้ามทำอย่างเคร่งครัด click->
    • ท่าฝึกต่าง ๆ แบ่งเป็น 3 ช่วง ให้เริ่มจากช่วงที่ 1 ก่อน ฝึกจนคล่องสักระยะหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่แต่ละบุคคล แล้วค่อยเพิ่มเป็นช่วงที่ 2 และ 3 ตามลำดับ
    การกำหนดจิต ( Concentration ) ให้เป็นหนึ่งเดียวกับการฝึกโดยไม่วอกแวก จะทำให้จิตสงบเข้าถึงสมาธิได้ดี ขึ้น ห้ามแข่งขัน หรือคุยกันระหว่างการฝึก ควรอดทนและขยันฝึกเป็นประจำควรฝึกอย่างน้อย อาทิตย์ละ 3 - 4 ครั้ง
    หยุดพักและผ่อนคลาย หลังแต่ละท่าฝึก ( Pause & Relax ) ให้หายใจเข้า - ออก ช้า ๆ ลึก ๆ 6-8 รอบ เพื่อคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และทำให้การเต้นของหัวใจปรับเข้าสู่สภาวะปกติก่อนที่ จะฝึกท่าต่อไป
    ประโยชน์ของโยคะ [ Benefits of YOGA ]
    เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ปรับระดับความดันเลือดให้เป็นปกติ บำบัดโรคที่เกี่ยวกับเลือดไม่ดี โรคภูมิแพ้ ลมหมักหมม ผิวพรรณที่ไม่ผ่องใส สมองไม่ปลอดโปร่ง มึนศีรษะง่าย
    ด้านกายภาพบำบัด
    • กล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเอ็น มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้การเดินคล่องขึ้น การทรงตัวดีขึ้น
    • กระดูกสันหลังถูกปรับให้เข้าสภาพปกติ ป้องกันอาการปวดหลัง ปวดต้นคอ หรือ ปวดศีรษะ และปรับรูปร่างให้สมดุล กระดูกไม่งอ ไหล่ไม่เอียง
    • ท่าบริหารโยคะบางท่าถูกดัดแปลงใช้กับคนชรา และคนพิการเพื่อสามารถฝึกบนเตียง หรือบนรถเข็นได้
    กระตุ้นสมองให้มีความจำดีขึ้น
    • การผ่อนคลายลึก ๆ หลังการฝึก ทำให้เกิดคลื่นอัลฟา มีผลต่อการผ่อนคลายต่อสมอง
    • คลายความเครียด แก้โรคนอนไม่หลับ
    นวดอวัยวะภายในให้แข็งแรงขึ้น เช่น หัวใจ มดลูก กระเพาะอาหาร ตับ ไต เป็นต้น ทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น เลือดไปที่ไตล้างไตให้สะอาดขึ้น ระบบการหายใจจะโล่งขึ้น ทำให้การเผาผลาญแคลอรีในร่างกายเพิ่มขึ้น ได้พลังงานเสริมความแข็งแรง
    ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
    • ร่างกายมีสัดส่วนดีขึ้น สวยงามขึ้น
    • ช่วยควบคุมน้ำหนักได้อย่างดี
    ด้านจิตบำบัด
    • จิตสงบและมีสมาธิมากขึ้น
    • ลดความวิตกกังวลและอาการที่ตื่นกลัว
    • นักกีฬา นักเต้นรำ นักแสดง อาจใช้โยคะเพื่อกำจัดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และเพิ่มสมาธิก่อนการแข็งขัน ก่อนการแสดง
    • นายแพทย์ ดีน ออร์นิช ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจจากแคลิฟอร์เนีย ได้ผสมผสานโยคะแบบใหม่ในการรักษาผู้ป่วย โรคหัวใจ
    • โครงการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง และศูนย์วิจัยในแคลิฟอร์เนีย สอนโยคะให้ผู้ป่วยในระยะสุดท้าย เพื่อให้รู้สึกสงบ
    เพศสัมพันธ์บกพร่อง สามารถบรรเทา หรือแก้ไขได้ด้วยท่าโยคะหลาย ๆ ท่า
    การเตรียมพร้อมก่อนการฝึกโยคะ [ Preparing for Yoga Practice ]
    อย่ากินอาหารอิ่มเกินไป ควรฝึกก่อนหรือหลังอาหาร อย่างน้อย 1 - 2 ชม.
    ไม่อ่อนเพลียมาก, หิวมาก, เป็นไข้, หนาวมาก, ร้อนมาก, หรือมีอาการเมาค้างอยู่ และควรขับถ่าย ให้เรียบร้อยก่อนการฝึก
    สตรีมีครรภ์ และสตรีที่อยู่ในช่วงมีรอบเดือน ( เฉพาะวันมามาก ) ห้ามฝึก หมายเหตุ สตรีมีครรภ์ ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป สามารถฝึกโยคะสำหรับผู้มีครรภ์ได้ ภายใต้ความควบคุมของครูฝึกที่มี ประสบการณ์ และควรได้รับการอนุญาตจากสูตินารีแพทย์
    ผู้ที่ผ่านการผ่าตัดมาแล้ว 3 - 6 เดือน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มฝึก
    แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสบาย ๆ เช่น เสื้อยึด กางเกงขายาว หรือขาสั้น สำหรับชุดออกกำลังกาย ต้องไม่ รัดแน่น เกินไป
    ไม่สวมแว่นตา นาฬิกา เครื่องประดับที่รกรุงรัง
    สถานที่ฝึกควรเงียบสงบ (ควรปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดขณะฝึก) สะอาด และไร้ฝุ่นละออง เพื่อป้องกันการแพ้ฝุ่น
    เลือกเวลาฝึกตามสะดวกแต่เวลาที่ดีคือ ช่วงเช้าก่อนเวลาทานอาหาร ถ้าฝึกช่วงบ่ายควรหาที่ ไม่ร้อนเกินไป
    ฝึกท่าวอร์มร่างกายก่อนการฝึกทุกครั้ง และแต่ละท่าให้ทำซ้ำ 3 - 5 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ของแต่ละ บุคคล
    ถ้าเกิดอาการเจ็บปวด แม้จะเล็กน้อยระหว่างฝึก ให้หยุดฝึกทันที แล้วนอนหงายผ่อนคลายอาการ เจ็บปวด ก่อนที่จะฝึกท่าต่อไป และให้บันทึกอาการเจ็บปวดไว้ เพื่อปรึกษาครูฝึกโยคะที่มี ประสบการณ์
    ก่อนจบการฝึกทุกครั้งจะต้องจบด้วย ท่าศพอาสนะทุกครั้ง โดยให้หายใจ เข้า ลึกๆ และหายใจ ออก ยาวๆ อย่างช้าๆ 30 - 40 รอบ หายใจ
    ก่อนลุกขึ้นจากท่านอน ควรตะแคงตัวจากท่านอนเป็นท่านั่งทุกครั้ง เพื่อป้องกันการปวดหลัง
    คำเตือนก่อนการฝึกโยคะ
    อุ่นร่างกาย ( warm-up ) ก่อนการฝึกทุกครั้ง เช่น ท่าวอร์มแขน ท่าไหว้พระอาทิตย์เบื้องต้น ท่าวอร์มหลัง และอื่น ๆ
    ศึกษาท่าบริหารแต่ละท่าให้เข้าใจดีก่อนฝึก
    เริ่มฝึกช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป อย่าเร่ง หรือฝืนทำ ห้ามแข่งขัน
    ฟังสัญญาณเตือนจากร่างกายระหว่างฝึก ถ้ารู้สึกเจ็บอย่าฝืนทำ ให้หยุดสักครู่ด้วย ท่าผ่อนคลาย ท่าหงาย จนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น
    อย่าฝึกท่า "ท่าห้าม" ของแต่ละบุคคล(ที่มีปัญหาจากโรคประจำตัว หรือมีปัญหาด้านกระดูก)
    ถ้าไม่เข้าใจการฝึกดีพอ และอยากมีครูแนะนำ ควรหาครูฝึกที่ได้มาตรฐาน และผ่านการอบรม เป็นครูโยคะมาแล้ว

    กินแป้งยังไงถึง..ไม่อ้วน


    วิธีการที่จะทำให้การกินแป้งไม่อ้วนมี 2 วิธีคือ (1) การเลือกกินแป้งและน้ำตาล ที่มีดัชนี ไกลซีมิก ต่ำ - ดัชนีนี้เป็นตัววัดว่า อาหารพวกแป้งและน้ำตาลนี้จะมีผลต่อระดับของกลูโคสในเลือดอย่างไร หากมีค่าไกลซีมิกสูงเท่าไร ระดับกลูโคสในเลือดก็เพิ่มขึ้นเร็วเท่านั้นโดยปกติ กลูโคสจะถือว่ามีค่าไกลซีมิกอยู่ที่ 100 ส่วนแป้งและน้ำตาลอื่นๆก็มีค่าน้อยลงลดหลั่นลงมา หากอาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกว่า 55 ถือว่ามีค่าไกลซีมิกต่ำ ส่วนระดับ 55-70 จัดว่ามีค่าอยู่ขั้นปานกลาง และระดับที่สูงกว่า 70 จัดอยู่ในขั้นสูงดังนั้น หากไม่อยากให้เกิดระดับกลูโคสในเลือดสูงเกินไป ก็เลือกกินแป้งและน้ำตาลที่มีค่าไกลซีมิกต่ำนั้นเอง>> แป้งและน้ำตาล ที่มีค่าไกลซีมิกสูง เช่น ขนมปัง (แม้แต่โฮลวีทที่มีวิตามินเยอะก็สูง) วัฟเฟิล แครกเกอร์ ข้าวขัดขาว มันฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็น เฟรนฟราย หรือ อบ>> แป้งและน้ำตาล ที่มีค่าไกลซีมิกต่ำๆ เช่น พวกแป้งและน้ำตาลที่อยู่ในถั่วโดยส่วนใหญ่ น้ำตาลในผลไม้ ข้าวซ้อมมือ พาสต้า หรือ สปาเก็ตตี้ ปัญหาหลักของการทานดัชนีไกลซีมิกสูงๆ คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการฟอกสีและกระบวนการผลิตที่ทำให้อาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกลายเป็นอาหารที่มีค่าไกลซีมิกสูง อย่างพวกแป้งขัดขาวที่นำมาทำเป็นขนมปัง ดังนั้นไม่ถึงกับต้องงดหรือลดการทานแป้งและน้ำตาลคะแต่ให้เลือกพวกที่มีค่าไกลซีมิกต่ำเป็นหลัก(2) การออกกำลังกาย - การออกกำลังกายนี้จะไปกระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งคือ กลูคากอน มันมีหน้าที่ในการรักษาระดับของกลูโคสในเลือดไม่ให้ต่ำเกินไป โดยการสลายไกลโครเจนที่สะสมไว้เป็นกลูโคส รวมไปถึงการเอาไขมันที่สะสมมาใช้ด้วยซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าออกกำลังกายจึงทำให้คนเราผอมลง ดังนั้นอย่ากลัวแป้งและน้ำตาลมากจนเกินเหตุนะคะ แต่ให้เราเลือกการรับประทาน และออกกำลังกายไปด้วย น้ำหนักก็ลดลงได้คะ

    กินอะไรบำรุงผม

    Hair Pictures, Images and Photos


    ธรรมชาติเส้นผมบนศีรษะของคนเรานั้นปกติมีอยู่ประมาณ 1 แสนเส้น เส้นผมร้อยละ 85-90 จะอยู่ในระยะเจริญ งอกยาวเดือนละประมาณ 1 เซนติเมตร และงอกต่อเนื่องนานจน 2-3 ปี สำหรับเส้นผมที่เหลือร้อยละ 10-15 จะอยู่ในระยะพัก และหลุดร่วงไปจากศีรษะ พร้อมกับการเกิดผมเส้นใหม่งอกขึ้นมาทดแทน 
    ดังนั้นรากผมจึงเป็นส่วนสำคัญ ถ้ารากผมถูกทำลายหรือผิดปกติไป เส้นผมจะไม่งอกหรืองอกผิดปกติได้ เนื่องจากเส้นผมเป็นส่วนหนึ่งของเซลล์ เมื่อเรากินอาหารเพื่อบำรุงเซลล์ ย่อมทำให้เส้นผมกลับคืนสู่ความสมบูรณ์ตามธรรมชาติ
    การเลือกรับประทานอาหารให้ครบหมู่ครบสารอาหาร นอกจากช่วยเสริมให้เส้นผมสมบูรณ์แล้ว อาหารดีมีประโยชน์ยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดีได้อีกด้วย


    บางคนไม่สบายด้วยโรคภัยไข้เจ็บทำให้รับประทานอาหารไม่เพียงพอ เส้นผมก็จะขาดสารอาหาร ใครที่เครียดบ่อยๆ ร่างกายจะดึงวิตามินบีและซีไปใช้มากกว่าปกติ เส้นผมก็จะได้รับวิตามินเหล่านี้น้อยลงไปด้วย บางคนมีกิจวัตรที่ต้องออกแดด ตากลมอยู่เสมอ ทำให้ขาดน้ำหล่อเลี้ยงจนเกิดผมแห้งแตกปลาย หรือคนที่ทานมังสวิรัติมานานโดยรับประทานพืชตระกูลถั่วน้อยก็อาจทำให้ขาดโปรตีน เส้นผมจะเสื่อมสภาพไม่แข็งแรง ความไม่สมดุลเหล่านี้ จึงส่งผลสะท้อนออกมาทางความสมบูรณ์ของเส้นผมอย่างเลี่ยงไม่ได้


    เส้นผมมีส่วนประกอบต่างๆ ... เคอราติน เป็นโปรตีนรูปแบบหนึ่งเป็นองค์ประกอบหลัก 65-96% ไขมัน 5% นอกนั้นเป็นน้ำและธาตุต่างๆ


    • สารอาหารที่จำเป็นสำหรับเส้นผม อาทิเช่น อาหารโปรตีนสูง เช่น ไข่ เนื้อไม่ติดมัน ธัญพืช นมพร่องมันเนย ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ซึ่งเหมาะสำหรับเส้นผมที่อ่อนแอและคนที่ผมงอกช้า 


    • อาหารแคลเซียมสูง เช่น อาหารทะเล สาหร่าย นม กระดูกอ่อน กุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย ช่วยบำรุงเส้นผมให้มีสุขภาพดีดูมีชีวิตชีวา 


    • วิตามินเอ บำรุงหนังศีรษะให้มีสุขภาพดี ได้จากส้ม มะเขือเทศ แครอท ผักโขม บรอกโคลี่ มันฝรั่ง มะละกอ แคนตาลูป ผักผลไม้มีเหลือง-แดง 


    • วิตามินบี ช่วยขับน้ำมันธรรมชาติหล่อเลี้ยงทำให้เส้นผมมีความชุ่มชื่นไม่แห้งกรอบ มีมากในอาหารประเภท ซีเรียล ตับ ปลา ไข่ มะเขือเทศ ดอกกะหล่ำ และกล้วย 


    • วิตามินซี ทำให้การลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์รากผมได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มีมากในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว มะม่วงดิบ ฝรั่ง มะขาม ส้ม สตรอเบอร์รี่ ผักใบเขียวต่างๆ 


    • สำคัญที่สุดถ้าจะให้เส้นผมดูดีมีประกายเงางาม เจ้าของเส้นผมจำเป็นต้องได้รับวิตามินอีที่เพียงพอ ซึ่งวิตามินอีมีมากใน ข้าวกล้อง ถั่ว เกาลัด พืชเมล็ดเปลือกแข็ง จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว 


    • นอกจากนี้ยังรวมถึงแร่ธาตุจำเป็นต่างๆ ที่มีส่วนสำคัญต่อระบบการทำงานและโครงสร้างของเส้นผม เช่น สังกะสี จากอาหารประเภทถั่วทุกชนิด น้ำมันพืช น้ำมันงา จมูกข้าวสาลี 


    • ทองแดง ในถั่วเมล็ดแห้ง อาหารทะเล ธัญพืช ลูกพรุน 


    • เหล็ก ในตับ ไข่แดง ข้าวโอ้ต ผลไม้แห้ง 


    • ไอโอดีน ในอาหารทะเล สาหร่าย 


    • เมนูที่ควรหลีกเลี่ยง เป็นอาหารประเภทไขมันสูง เนื้อติดมัน เนย กะทิ อาหารทอด น้ำมันหมู ช็อคโกแลต อาหารเหล่านี้ทำให้หนังศีรษะมีน้ำมันส่วนเกินออกมามากเกินไป ทำให้ผมมัน หลุดร่วงง่าย และอาจเป็นผลต่อเนื่องทำให้เกิดสิวบนหนังศีรษะ


    กินอาหารบำรุงผิว เพื่อสุขภาพดีๆของผิวพรรณ


    อาหารผิวนับว่ามีส่วนสำคัญ ในการเป็นตัวบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งและสดใสเพื่อให้มีสุขภาพผิวที่ดีๆ โดยสำหรับอาหารที่ทำลายความสดใสของผิวพรรณอย่างแรกก็คือ ไขมันอิ่มตัวในอาหารจำพวกเบคอน ไส้กรอก ไอศกรีม เนยสด โดยในการเผาผลาญอาหารเหล่านี้ จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ของร่างกายเหี่ยวย่น และเสื่อมโทรมลง


                และหากเป็นอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลมากเกิน ไป  ก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะจะไปขัดขวางกระบวนการสร้างคอลลาเจนซึ่ง  เป็นสารที่ทำให้ผิวตึงกระชับ ดังนั้นหากกินมากไปส่งผลให้ผิวหนังหย่อนยานก่อนวัยได้นะ 
       กาแฟที่เรามักจะดื่มกันตอนเช้าๆ วันละแก้วสองแก้วนี่ก็ทำลา ยผิวเราได้เหมือนกัน เพราะคาเฟอีนจะเป็นตัวดึงความชุ่มชื้นจากผิวเราออกไป และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลายก็เช่นกัน ดังนั้นหากดื่มสองสิ่งนี้เข้าไปเมื่อไร ก็อย่าลืมดื่มน้ำแก้วโตๆ ตามเข้าไป เพื่อป้องกันผิวไม่ให้ขาดความชุ่มชื้น


        ส่วนใครที่อยากผิวดีจากอาหารการกินก็ไม่ยาก เพียงแต่กินอาหารจำพวกเนื้อปลา ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยมที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย น้ำมันมะกอกซึ่งมีกรดไขมันชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และเต็มไปด้วยวิตามินเอและอีก็ช่วยให้ผิวสวยได้ ส่วนธัญพืชต่างๆ ก็ให้วิตามินอีซึ่งช่วยรักษาความแข็งแรงของเซลล์ ที่ขาดไม่ได้คือผักสดผลไม้สด รวมทั้งน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้วด้วย เท่านี้ผิวก็สวยได้แล้ว