ตามประสาคนโสด

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555


    โยคะเพื่อสุขภาพ


    หลักสำคัญของการฝึกโยคะ [ Objectives ]
    หายใจแบบโยคะให้ถูกต้อง : หายใจเข้า - ท้องพอง, หายใจออก - ท้องแฟบ
    • สูดอากาศเข้าให้พอดีกับท่าฝึก เพื่อให้ได้ออกซิเจนมากพอ
    • ปล่อยลมหายใจออกให้สุด เพื่อขับอากาศเสียออกจากร่างกาย และลดความตึงเครียด ของกล้ามเนื้อ
    • หายใจเข้า - ออก ให้สอดคล้องเป็นจังหวะกับท่าฝึกแต่ละท่า
    ฝึกท่าแต่ละท่า ช้าๆ เป็นจังหวะที่ลงตัว ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย ตามข้อจำกัดธรรมชาติร่างกายของแต่ละบุคคล อย่าฝืนเกินไป เช่น ยืดตัวมากเกินไป เกร็งเกินไป ตึงมากไป บิดมากเกินไป
    • สำหรับผู้ที่ผลการตรวจสอบไม่ผ่าน ควรฝึกเฉพาะท่าหายใจ และท่าอุ่นร่างกาย (warm-up) ที่แนะนำเท่านั้น หรือ รับการฝึกกับครูโยคะที่มีวุฒิบัตรการสอนโยคะเท่านั้น
    • ผู้มีปัญหาด้านสุขภาพแต่ละประเภท ให้บันทึกท่าฝึกที่ห้ามทำอย่างเคร่งครัด click->
    • ท่าฝึกต่าง ๆ แบ่งเป็น 3 ช่วง ให้เริ่มจากช่วงที่ 1 ก่อน ฝึกจนคล่องสักระยะหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่แต่ละบุคคล แล้วค่อยเพิ่มเป็นช่วงที่ 2 และ 3 ตามลำดับ
    การกำหนดจิต ( Concentration ) ให้เป็นหนึ่งเดียวกับการฝึกโดยไม่วอกแวก จะทำให้จิตสงบเข้าถึงสมาธิได้ดี ขึ้น ห้ามแข่งขัน หรือคุยกันระหว่างการฝึก ควรอดทนและขยันฝึกเป็นประจำควรฝึกอย่างน้อย อาทิตย์ละ 3 - 4 ครั้ง
    หยุดพักและผ่อนคลาย หลังแต่ละท่าฝึก ( Pause & Relax ) ให้หายใจเข้า - ออก ช้า ๆ ลึก ๆ 6-8 รอบ เพื่อคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และทำให้การเต้นของหัวใจปรับเข้าสู่สภาวะปกติก่อนที่ จะฝึกท่าต่อไป
    ประโยชน์ของโยคะ [ Benefits of YOGA ]
    เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ปรับระดับความดันเลือดให้เป็นปกติ บำบัดโรคที่เกี่ยวกับเลือดไม่ดี โรคภูมิแพ้ ลมหมักหมม ผิวพรรณที่ไม่ผ่องใส สมองไม่ปลอดโปร่ง มึนศีรษะง่าย
    ด้านกายภาพบำบัด
    • กล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเอ็น มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้การเดินคล่องขึ้น การทรงตัวดีขึ้น
    • กระดูกสันหลังถูกปรับให้เข้าสภาพปกติ ป้องกันอาการปวดหลัง ปวดต้นคอ หรือ ปวดศีรษะ และปรับรูปร่างให้สมดุล กระดูกไม่งอ ไหล่ไม่เอียง
    • ท่าบริหารโยคะบางท่าถูกดัดแปลงใช้กับคนชรา และคนพิการเพื่อสามารถฝึกบนเตียง หรือบนรถเข็นได้
    กระตุ้นสมองให้มีความจำดีขึ้น
    • การผ่อนคลายลึก ๆ หลังการฝึก ทำให้เกิดคลื่นอัลฟา มีผลต่อการผ่อนคลายต่อสมอง
    • คลายความเครียด แก้โรคนอนไม่หลับ
    นวดอวัยวะภายในให้แข็งแรงขึ้น เช่น หัวใจ มดลูก กระเพาะอาหาร ตับ ไต เป็นต้น ทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น เลือดไปที่ไตล้างไตให้สะอาดขึ้น ระบบการหายใจจะโล่งขึ้น ทำให้การเผาผลาญแคลอรีในร่างกายเพิ่มขึ้น ได้พลังงานเสริมความแข็งแรง
    ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
    • ร่างกายมีสัดส่วนดีขึ้น สวยงามขึ้น
    • ช่วยควบคุมน้ำหนักได้อย่างดี
    ด้านจิตบำบัด
    • จิตสงบและมีสมาธิมากขึ้น
    • ลดความวิตกกังวลและอาการที่ตื่นกลัว
    • นักกีฬา นักเต้นรำ นักแสดง อาจใช้โยคะเพื่อกำจัดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และเพิ่มสมาธิก่อนการแข็งขัน ก่อนการแสดง
    • นายแพทย์ ดีน ออร์นิช ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจจากแคลิฟอร์เนีย ได้ผสมผสานโยคะแบบใหม่ในการรักษาผู้ป่วย โรคหัวใจ
    • โครงการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง และศูนย์วิจัยในแคลิฟอร์เนีย สอนโยคะให้ผู้ป่วยในระยะสุดท้าย เพื่อให้รู้สึกสงบ
    เพศสัมพันธ์บกพร่อง สามารถบรรเทา หรือแก้ไขได้ด้วยท่าโยคะหลาย ๆ ท่า
    การเตรียมพร้อมก่อนการฝึกโยคะ [ Preparing for Yoga Practice ]
    อย่ากินอาหารอิ่มเกินไป ควรฝึกก่อนหรือหลังอาหาร อย่างน้อย 1 - 2 ชม.
    ไม่อ่อนเพลียมาก, หิวมาก, เป็นไข้, หนาวมาก, ร้อนมาก, หรือมีอาการเมาค้างอยู่ และควรขับถ่าย ให้เรียบร้อยก่อนการฝึก
    สตรีมีครรภ์ และสตรีที่อยู่ในช่วงมีรอบเดือน ( เฉพาะวันมามาก ) ห้ามฝึก หมายเหตุ สตรีมีครรภ์ ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป สามารถฝึกโยคะสำหรับผู้มีครรภ์ได้ ภายใต้ความควบคุมของครูฝึกที่มี ประสบการณ์ และควรได้รับการอนุญาตจากสูตินารีแพทย์
    ผู้ที่ผ่านการผ่าตัดมาแล้ว 3 - 6 เดือน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มฝึก
    แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสบาย ๆ เช่น เสื้อยึด กางเกงขายาว หรือขาสั้น สำหรับชุดออกกำลังกาย ต้องไม่ รัดแน่น เกินไป
    ไม่สวมแว่นตา นาฬิกา เครื่องประดับที่รกรุงรัง
    สถานที่ฝึกควรเงียบสงบ (ควรปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดขณะฝึก) สะอาด และไร้ฝุ่นละออง เพื่อป้องกันการแพ้ฝุ่น
    เลือกเวลาฝึกตามสะดวกแต่เวลาที่ดีคือ ช่วงเช้าก่อนเวลาทานอาหาร ถ้าฝึกช่วงบ่ายควรหาที่ ไม่ร้อนเกินไป
    ฝึกท่าวอร์มร่างกายก่อนการฝึกทุกครั้ง และแต่ละท่าให้ทำซ้ำ 3 - 5 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ของแต่ละ บุคคล
    ถ้าเกิดอาการเจ็บปวด แม้จะเล็กน้อยระหว่างฝึก ให้หยุดฝึกทันที แล้วนอนหงายผ่อนคลายอาการ เจ็บปวด ก่อนที่จะฝึกท่าต่อไป และให้บันทึกอาการเจ็บปวดไว้ เพื่อปรึกษาครูฝึกโยคะที่มี ประสบการณ์
    ก่อนจบการฝึกทุกครั้งจะต้องจบด้วย ท่าศพอาสนะทุกครั้ง โดยให้หายใจ เข้า ลึกๆ และหายใจ ออก ยาวๆ อย่างช้าๆ 30 - 40 รอบ หายใจ
    ก่อนลุกขึ้นจากท่านอน ควรตะแคงตัวจากท่านอนเป็นท่านั่งทุกครั้ง เพื่อป้องกันการปวดหลัง
    คำเตือนก่อนการฝึกโยคะ
    อุ่นร่างกาย ( warm-up ) ก่อนการฝึกทุกครั้ง เช่น ท่าวอร์มแขน ท่าไหว้พระอาทิตย์เบื้องต้น ท่าวอร์มหลัง และอื่น ๆ
    ศึกษาท่าบริหารแต่ละท่าให้เข้าใจดีก่อนฝึก
    เริ่มฝึกช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป อย่าเร่ง หรือฝืนทำ ห้ามแข่งขัน
    ฟังสัญญาณเตือนจากร่างกายระหว่างฝึก ถ้ารู้สึกเจ็บอย่าฝืนทำ ให้หยุดสักครู่ด้วย ท่าผ่อนคลาย ท่าหงาย จนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น
    อย่าฝึกท่า "ท่าห้าม" ของแต่ละบุคคล(ที่มีปัญหาจากโรคประจำตัว หรือมีปัญหาด้านกระดูก)
    ถ้าไม่เข้าใจการฝึกดีพอ และอยากมีครูแนะนำ ควรหาครูฝึกที่ได้มาตรฐาน และผ่านการอบรม เป็นครูโยคะมาแล้ว

    กินแป้งยังไงถึง..ไม่อ้วน


    วิธีการที่จะทำให้การกินแป้งไม่อ้วนมี 2 วิธีคือ (1) การเลือกกินแป้งและน้ำตาล ที่มีดัชนี ไกลซีมิก ต่ำ - ดัชนีนี้เป็นตัววัดว่า อาหารพวกแป้งและน้ำตาลนี้จะมีผลต่อระดับของกลูโคสในเลือดอย่างไร หากมีค่าไกลซีมิกสูงเท่าไร ระดับกลูโคสในเลือดก็เพิ่มขึ้นเร็วเท่านั้นโดยปกติ กลูโคสจะถือว่ามีค่าไกลซีมิกอยู่ที่ 100 ส่วนแป้งและน้ำตาลอื่นๆก็มีค่าน้อยลงลดหลั่นลงมา หากอาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกว่า 55 ถือว่ามีค่าไกลซีมิกต่ำ ส่วนระดับ 55-70 จัดว่ามีค่าอยู่ขั้นปานกลาง และระดับที่สูงกว่า 70 จัดอยู่ในขั้นสูงดังนั้น หากไม่อยากให้เกิดระดับกลูโคสในเลือดสูงเกินไป ก็เลือกกินแป้งและน้ำตาลที่มีค่าไกลซีมิกต่ำนั้นเอง>> แป้งและน้ำตาล ที่มีค่าไกลซีมิกสูง เช่น ขนมปัง (แม้แต่โฮลวีทที่มีวิตามินเยอะก็สูง) วัฟเฟิล แครกเกอร์ ข้าวขัดขาว มันฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็น เฟรนฟราย หรือ อบ>> แป้งและน้ำตาล ที่มีค่าไกลซีมิกต่ำๆ เช่น พวกแป้งและน้ำตาลที่อยู่ในถั่วโดยส่วนใหญ่ น้ำตาลในผลไม้ ข้าวซ้อมมือ พาสต้า หรือ สปาเก็ตตี้ ปัญหาหลักของการทานดัชนีไกลซีมิกสูงๆ คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการฟอกสีและกระบวนการผลิตที่ทำให้อาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกลายเป็นอาหารที่มีค่าไกลซีมิกสูง อย่างพวกแป้งขัดขาวที่นำมาทำเป็นขนมปัง ดังนั้นไม่ถึงกับต้องงดหรือลดการทานแป้งและน้ำตาลคะแต่ให้เลือกพวกที่มีค่าไกลซีมิกต่ำเป็นหลัก(2) การออกกำลังกาย - การออกกำลังกายนี้จะไปกระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งคือ กลูคากอน มันมีหน้าที่ในการรักษาระดับของกลูโคสในเลือดไม่ให้ต่ำเกินไป โดยการสลายไกลโครเจนที่สะสมไว้เป็นกลูโคส รวมไปถึงการเอาไขมันที่สะสมมาใช้ด้วยซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าออกกำลังกายจึงทำให้คนเราผอมลง ดังนั้นอย่ากลัวแป้งและน้ำตาลมากจนเกินเหตุนะคะ แต่ให้เราเลือกการรับประทาน และออกกำลังกายไปด้วย น้ำหนักก็ลดลงได้คะ

    กินอะไรบำรุงผม

    Hair Pictures, Images and Photos


    ธรรมชาติเส้นผมบนศีรษะของคนเรานั้นปกติมีอยู่ประมาณ 1 แสนเส้น เส้นผมร้อยละ 85-90 จะอยู่ในระยะเจริญ งอกยาวเดือนละประมาณ 1 เซนติเมตร และงอกต่อเนื่องนานจน 2-3 ปี สำหรับเส้นผมที่เหลือร้อยละ 10-15 จะอยู่ในระยะพัก และหลุดร่วงไปจากศีรษะ พร้อมกับการเกิดผมเส้นใหม่งอกขึ้นมาทดแทน 
    ดังนั้นรากผมจึงเป็นส่วนสำคัญ ถ้ารากผมถูกทำลายหรือผิดปกติไป เส้นผมจะไม่งอกหรืองอกผิดปกติได้ เนื่องจากเส้นผมเป็นส่วนหนึ่งของเซลล์ เมื่อเรากินอาหารเพื่อบำรุงเซลล์ ย่อมทำให้เส้นผมกลับคืนสู่ความสมบูรณ์ตามธรรมชาติ
    การเลือกรับประทานอาหารให้ครบหมู่ครบสารอาหาร นอกจากช่วยเสริมให้เส้นผมสมบูรณ์แล้ว อาหารดีมีประโยชน์ยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดีได้อีกด้วย


    บางคนไม่สบายด้วยโรคภัยไข้เจ็บทำให้รับประทานอาหารไม่เพียงพอ เส้นผมก็จะขาดสารอาหาร ใครที่เครียดบ่อยๆ ร่างกายจะดึงวิตามินบีและซีไปใช้มากกว่าปกติ เส้นผมก็จะได้รับวิตามินเหล่านี้น้อยลงไปด้วย บางคนมีกิจวัตรที่ต้องออกแดด ตากลมอยู่เสมอ ทำให้ขาดน้ำหล่อเลี้ยงจนเกิดผมแห้งแตกปลาย หรือคนที่ทานมังสวิรัติมานานโดยรับประทานพืชตระกูลถั่วน้อยก็อาจทำให้ขาดโปรตีน เส้นผมจะเสื่อมสภาพไม่แข็งแรง ความไม่สมดุลเหล่านี้ จึงส่งผลสะท้อนออกมาทางความสมบูรณ์ของเส้นผมอย่างเลี่ยงไม่ได้


    เส้นผมมีส่วนประกอบต่างๆ ... เคอราติน เป็นโปรตีนรูปแบบหนึ่งเป็นองค์ประกอบหลัก 65-96% ไขมัน 5% นอกนั้นเป็นน้ำและธาตุต่างๆ


    • สารอาหารที่จำเป็นสำหรับเส้นผม อาทิเช่น อาหารโปรตีนสูง เช่น ไข่ เนื้อไม่ติดมัน ธัญพืช นมพร่องมันเนย ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ซึ่งเหมาะสำหรับเส้นผมที่อ่อนแอและคนที่ผมงอกช้า 


    • อาหารแคลเซียมสูง เช่น อาหารทะเล สาหร่าย นม กระดูกอ่อน กุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย ช่วยบำรุงเส้นผมให้มีสุขภาพดีดูมีชีวิตชีวา 


    • วิตามินเอ บำรุงหนังศีรษะให้มีสุขภาพดี ได้จากส้ม มะเขือเทศ แครอท ผักโขม บรอกโคลี่ มันฝรั่ง มะละกอ แคนตาลูป ผักผลไม้มีเหลือง-แดง 


    • วิตามินบี ช่วยขับน้ำมันธรรมชาติหล่อเลี้ยงทำให้เส้นผมมีความชุ่มชื่นไม่แห้งกรอบ มีมากในอาหารประเภท ซีเรียล ตับ ปลา ไข่ มะเขือเทศ ดอกกะหล่ำ และกล้วย 


    • วิตามินซี ทำให้การลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์รากผมได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มีมากในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว มะม่วงดิบ ฝรั่ง มะขาม ส้ม สตรอเบอร์รี่ ผักใบเขียวต่างๆ 


    • สำคัญที่สุดถ้าจะให้เส้นผมดูดีมีประกายเงางาม เจ้าของเส้นผมจำเป็นต้องได้รับวิตามินอีที่เพียงพอ ซึ่งวิตามินอีมีมากใน ข้าวกล้อง ถั่ว เกาลัด พืชเมล็ดเปลือกแข็ง จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว 


    • นอกจากนี้ยังรวมถึงแร่ธาตุจำเป็นต่างๆ ที่มีส่วนสำคัญต่อระบบการทำงานและโครงสร้างของเส้นผม เช่น สังกะสี จากอาหารประเภทถั่วทุกชนิด น้ำมันพืช น้ำมันงา จมูกข้าวสาลี 


    • ทองแดง ในถั่วเมล็ดแห้ง อาหารทะเล ธัญพืช ลูกพรุน 


    • เหล็ก ในตับ ไข่แดง ข้าวโอ้ต ผลไม้แห้ง 


    • ไอโอดีน ในอาหารทะเล สาหร่าย 


    • เมนูที่ควรหลีกเลี่ยง เป็นอาหารประเภทไขมันสูง เนื้อติดมัน เนย กะทิ อาหารทอด น้ำมันหมู ช็อคโกแลต อาหารเหล่านี้ทำให้หนังศีรษะมีน้ำมันส่วนเกินออกมามากเกินไป ทำให้ผมมัน หลุดร่วงง่าย และอาจเป็นผลต่อเนื่องทำให้เกิดสิวบนหนังศีรษะ


    กินอาหารบำรุงผิว เพื่อสุขภาพดีๆของผิวพรรณ


    อาหารผิวนับว่ามีส่วนสำคัญ ในการเป็นตัวบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งและสดใสเพื่อให้มีสุขภาพผิวที่ดีๆ โดยสำหรับอาหารที่ทำลายความสดใสของผิวพรรณอย่างแรกก็คือ ไขมันอิ่มตัวในอาหารจำพวกเบคอน ไส้กรอก ไอศกรีม เนยสด โดยในการเผาผลาญอาหารเหล่านี้ จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ของร่างกายเหี่ยวย่น และเสื่อมโทรมลง


                และหากเป็นอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลมากเกิน ไป  ก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะจะไปขัดขวางกระบวนการสร้างคอลลาเจนซึ่ง  เป็นสารที่ทำให้ผิวตึงกระชับ ดังนั้นหากกินมากไปส่งผลให้ผิวหนังหย่อนยานก่อนวัยได้นะ 
       กาแฟที่เรามักจะดื่มกันตอนเช้าๆ วันละแก้วสองแก้วนี่ก็ทำลา ยผิวเราได้เหมือนกัน เพราะคาเฟอีนจะเป็นตัวดึงความชุ่มชื้นจากผิวเราออกไป และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลายก็เช่นกัน ดังนั้นหากดื่มสองสิ่งนี้เข้าไปเมื่อไร ก็อย่าลืมดื่มน้ำแก้วโตๆ ตามเข้าไป เพื่อป้องกันผิวไม่ให้ขาดความชุ่มชื้น


        ส่วนใครที่อยากผิวดีจากอาหารการกินก็ไม่ยาก เพียงแต่กินอาหารจำพวกเนื้อปลา ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยมที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย น้ำมันมะกอกซึ่งมีกรดไขมันชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และเต็มไปด้วยวิตามินเอและอีก็ช่วยให้ผิวสวยได้ ส่วนธัญพืชต่างๆ ก็ให้วิตามินอีซึ่งช่วยรักษาความแข็งแรงของเซลล์ ที่ขาดไม่ได้คือผักสดผลไม้สด รวมทั้งน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้วด้วย เท่านี้ผิวก็สวยได้แล้ว 

    สุขภาพดีอยู่ที่กินและถ่า

    สุขภาพดีอยู่ที่กินและถ่าย (Slim up)

    เรื่อง : พญ.ศันสนีย์  อำนวยสกุล , เรียบเรียง : ประพนธ์ งามวิเศษกุล


              "มาช้าจังเลย เดี๋ยวก็ไปไม่ทันนัดหรอก"


              "เช้านี้ฉันรู้สึกไม่มั่นใจเลย ใส่ชุดอะไรก็ไม่สวย"


              "มานี่สิ (เพื่อนสาวชูโยเกริต์ให้หนึ่งถ้วย) มีส่วนช่วยในการขับถ่ายนะ"


              "อือ อร่อย แล้วดีจริง ๆ เหรอ"


              "ก็ดูฉันสิ  (เพื่อนสาวอวดหุ่นสวยอย่างภาคภูมิใจ)"


              จากบทสนทนาจะเห็นได้ว่า ผู้หญิงคนหนึ่งรู้สึกไม่มั่นใจในรูปร่างของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนก่อนนอนก็ยังไม่ได้มีความรู้สึกนั้น เพราะอะไรเธอจึงเกิดความรู้สึกดังกล่าว  นั่นเพราะเมื่อตอนที่เธอตื่นมาเจอกับหน้าท้องพองลม แล้วระบบขับถ่ายไม่ยอมทำงานตามปกติ หรือที่เรียกว่า "ท้องผูก" ส่งผลให้ของเสียที่ควรจะถูกขับถ่ายออกจากร่างกายยังคงตกค้างอยู่จึงทำให้หน้าท้องป่อง เท่านั้นยังไม่พอ ยังส่งผลกระทบทางด้านจิตใจทำให้ขาดความมั่นใจไปในทันที


              อาการท้องผูกในคนทั่วไปนั้นพบบ่อย 5 –20 % โดยผู้หญิงจะเป็นบ่อยกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า ในผู้สุงอายุก็พบอาการท้องผูกได้บ่อยกว่าเช่นกัน อาการท้องผูกส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ทั้งอาชีพการงาน และการทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีการเปิดเผยตัวเลขเกี่ยวกับการใช้บริการทางการแพทย์เป็นมูลค่าถึง 2,752 ดอลล่าร์สหรัฐ ต่อคนไข้ 1 คนในการตรวจวินิจฉัยในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ เราลองมารู้จักอาการท้องผูกสักนิดเพื่อจะได้ดูแลตนเองเบื้องต้นได้


              ถ่ายเบา ถ่ายหนัก ถือเป็นกิจวัตรประจำวันสำหรับคนปกติ หากวันไหนรู้สึกไม่อยากถ่าย หรืออยากปลดปล่อยใจจะขาดแต่มันไม่ยอมสักที นั่นแสดงว่าระบบขับถ่ายของคุณเริ่มมีปัญหาแล้วล่ะ

        

              แต่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการถ่ายทุกวันเป็นเรื่องดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว การถ่ายทุกวันก็ถือว่าไม่ปกติเช่นกัน

        

              จริง ๆ แล้วอาการท้องผูกคือ เบ่งถ่ายยาก อุจจาระแข็ง รู้สึกถ่ายไม่หมด รู้สึกว่ามีการอุดตันที่บริเวณทวารหนัก ต้องช่วยสวนทวาร ต้องอาศัยยาจึงทำให้อุจจาระไม่แข็ง ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้ง/สัปดาห์ หรือรู้สึกถ่ายน้อยกว่าคนปกติ จะเห็นว่าความสำคัญอยู่ที่ลักษณะของอุจจาระและการขับถ่ายมากกว่าความถี่ในการอุจจาระ บางครั้งท้องผูกเกิดได้ฉับพลัน แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นช้า ๆ และอยู่นานเป็นเดือน เป็นปี  


              ท้องผูกเรื้อรัง ตัดสินจากระยะเวลา คือเริ่มมีอาการท้องผูกอย่างน้อย 6 เดือน ก่อนการวินิจฉัย และเป็นอยู่นานติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน และต้องไม่ใช่ลำไส้แปรปรวน (IBS) ที่รู้สึกปวดหรือไม่สบายท้อง แต่ดีขึ้นเมื่อได้ถ่ายอุจจาระเป็นอาการเด่น โดยมีอาการท้องผูกร่วมด้วย ที่ต้องแยกการวินิจฉัย เพราะ IBS ให้รักษาอาการปวด โดยอาจไม่จำเป็นต้องให้ยากระตุ้นการขับถ่าย หรือทำให้ถ่ายอุจจาระเหลวมากขึ้น

        

              สาเหตุของอาการท้องผูกที่ไม่ได้มีโรครุนแรงซ่อนอยู่ได้แก่ ดื่มน้ำไม่เพียงพอ กินอาหารน้อย กินเส้นใยอาหาร (Fiber) น้อย ขาดการออกกำลังกาย ถึงเวลาปวดถ่ายไม่ยอมเข้าห้องน้ำ หรือแม้แต่การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดกรด ยาแก้แพ้ ยาขับปัสสาวะ ยารักษาความดันสูงบางชนิด ยาบำรุงเลือดธาตุเหล็ก ยาแก้ไอ ยาแก้ปวดบางชนิด ยาลดกรดที่มีอะลูมิเนียม และที่พบได้บ่อยมาก คือใช้ยาถ่ายบ่อยเกินไป

        

              ส่วนอาการท้องผูกเรื้อรังนั้น อาจมีสาเหตุจากโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื้องอกจะอุดตันลำไส้ ทำให้ถ่ายไม่ออก เบาหวาน โรคฮอร์โมนธัยรอยด์ต่ำ โรคทางระบบประสาท เช่น พาร์กินสัน สมองเสื่อม อัมพาต สมองได้รับบาดเจ็บ โรคซึงเศร้า โรคในลำไส้อื่น ๆ เช่น กระเปาะของผนังลำไส้ ลำไส้โป่งพอง หลังการผ่าตัดในช่องท้องการตีบแคบ หรือลำไส้เคลื่อนไหวช้า เป็นต้น

     


    ทำอย่างไรไม่ให้ท้องผูก

    1.ดื่มน้ำให้ได้วันละประมาณ 1-2 ลิตร ถ้าไม่มีโรคหัวใจ โรคของเส้นเลือด โรคไตอยู่ บางคนอาจท้องผูกจากการดื่มนมหรือรับประทานแคลเซียมในปริมาณมาก

    2.เข้าห้องน้ำทันทีเมื่อรู้สึกปวดถ่าย ไม่ควรรอหรือทนอั้นไว้เพราะยิ่งรอไว้นาน ยิ่งเพิ่มอาการท้องผูก และควรฝึกขับถ่ายเป็นเวลา

    3.ออกกำลังกายน้อย หรือใช้เวลานอนบนเตียงนาน ๆ เช่น คนป่วยนอนโรงพยาบาลนาน ๆ ทำให้ท้องผูก จึงควรขยับเขยื้อนร่างกาย ออกกำลังกายเสมอ ๆ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดถ้ามีอาการปวดข้อ อาจลองทำกายบริหารในสระว่ายน้ำ

    4.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีใยน้อย เช่น ไอศกรีม ชีส หรือเนยแข็ง เนื้อวัว ควรหลีกเลี่ยงชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะปัสสาวะบ่อย ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ

    5.ทานอาหารที่มีใยอาหาร 20-30 กรัมต่อวัน เพราะใยอาหารจะทำให้เนื้ออุจจาระอุ้มน้ำมากขึ้น แล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมารของใยอาหารในทุก ๆ สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวจะได้ไม่เกิดอาการท้องอืดแน่น

     6.หลีกเลี่ยงการใช้ยาระบาย หรือการสวนทวารนาน ๆ เพราะไม่ใช่วิธีการรักษาให้หายขาด การใช้ยาระบายนาน ๆ ทำให้ร่างกายลืมหน้าที่ตนเอง


              หากปฏิบัติข้อ 1-6 แล้วไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อการตรวจวินิจฉัย และรักษาอย่างถูกต้อง 

    ใยอาหารพบในผัก เช่นคะน้า กวางตุ้ง ผักโขม ผลไม้ เช่น ส้ม มะละกอ และผลไม้ที่กินได้ทั้งเปลือก ควรกินผักผลไม้ให้ได้ 4-5 ส่วนต่อวัน (ประมาณ 5 ทัพพีหรือ 1 ฝ่ามือผู้ใหญ่) เมล็ดัญพืช ถั่ว ลูกพรุน ข้าวกล้อง โฮลวีต ฯลฯ โดยเฉพาะพรุนนั้นเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์มากเป็นพิเศษ


    อยากสุขภาพดี ต้อง ทำอย่างไรบ้าง




    ข้อแนะนำ 20 อย่างสำหรับคนที่อยากจะมีสุขภาพดี ถ้าหากว่าคุณสามารถปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้ได้อย่างสม่ำเสมอ หนทางสู่สุขภาพที่ดีของคุณรออยู่อีกไม่ไกล 


    1. ต่อต้านมะเร็งเต้านมด้วยการรับประทาน broccoli ให้มาก ๆ หน่อย เพราะในหน่อ broccori มีสารอาหารที่มีคุณค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง sulforaphane ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือ antioxidant ก่อนหน้านี้ John Hopkins University เคยศึกษาเอาไว้ว่า sulforaphan สามารถลดความเสี่ยงของการพัฒนามะเร็งเต้านมในหนูทดลองได้ถึง 60% ดังนั้นการรับประทาน broccoli สดประมาณ 1 ounce จะทำให้คุณได้รับสารสาหาร sulforaphane ประมาณ 73 มิลลิกรัม แต่ถ้ารับประทานสุก ควรจะเพิ่มปริมาณ เพื่อให้ได้สารอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณเท่ากัน 


    2. พยายามใช้ถั่วเหลืองมาเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารแต่ละมื้อ เพราะถั่วเหลืองนี้ ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับทางเดินเส้นเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ ซึ่งถ้าหากว่าคุณต้องการจะลดปริมาณ cholesterol ลง 11% ใน 6 สัปดาห์ ลองนำถั่วเหลืองมาปรุงอาหารให้เป็นประจำ นอกจากมันจะทำให้คุณมีน้ำหนักเข้าที่เข้าทางแล้ว มันยังช่วยลดความดันเลือดให้คุณได้ด้วย จากการศึกษาของ Wake Fostest University ใน North Carolinar ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้หญิงอายุระหว่าง 45 ถึง 60 ปี จำนวน 43 คน พบว่า เพียงแป้งถั่วเหลืองในปริมาณ 2 ช้อนชา ใส่ลงไปในอาหาร อย่างเช่น นมสด น้ำส้ม หรืออาหารธัญพืช หรือ นมถั่วเหลืองวันละแก้ว หรือ เต้าหู้ก็จะทำให้คุณเห็นความแตกต่างของสุขภาพที่ดีขึ้นแล้ว นอกจากถั่วเหลืองจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และลดความดันเลือดแล้ว นายแพทย์ Gregory Burke จากPublic Health Sciences ยังบอกอีกว่า ถั่วเหลืองอาจจะช่วยป้องกันคุณจาก arteroilosclerosisหรือมะเร็งได้ด้วย 


    3. รับประทาน folic acid (ได้แก่ ยีสต์ ตับไต เนื้อสัตว์ นม ถั่ว หน่อไม้ เห็ด และผักใบเขียว)จะช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ได้ถึง 75% ยิ่งไปกว่านั้น เรายังได้ทราบกันมาอีกว่ากรดชนิดนี้ยังช่วยต่อต้านความผิดปกติในการให้กำเนิดทารก และต่อต้าน homocysteine ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจได้ด้วย เมื่อไม่นานมานี้ มีการศึกษาจาก Harvard พบอีกว่า ผู้หญิงที่บริโภค folic acid มากกว่า 400 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลานานถึง 15 ปี ความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้จะลดลงถึง 75% ในขณะที่ผู้หญิงที่บริโภคสารอาหารดังกล่าว เป็นเวลานาน 5 ถึง 10 ปี ความเสี่ยงของโรคจะลดลง 20% 


    4. รับประทาน blueberries เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดกับดวงตา และทางเดินเส้นเลือดที่จะไปหล่อเลี้ยงหัวใจ ผล blueberries ให้ทั้งวิตามิน E และวิตามิน C รวมทั้งยังมีสรรพคุณในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด Dr. Mary Ann Lila Smith จาก University of Illinois บอกว่า เธอและคณะนักวิจัยแนะนำให้รับประทานผล blueberries เพื่อเพิ่มศักยภาพในการมองเห็นช่วงกลางคืน อีกทั้งผลไม้ชนิดนี้ ยังช่วยชลอความเสื่อมของกล้ามเนื้อและเส้นเลือดที่จะไปหล่อเลี้ยงดวงตา 


    5. ก่อนรับประทานอาหารมื้อหนัก ควรรับประทานซุปสักถ้วยหนึ่งก่อน เพราะจากการศึกษาของ Baylor College of Madicine ใน Houston พบว่า ซุปร้อน ๆ ก่อนที่จะรับประทานอาหารหลักของมื้ออย่างเช่น สเต็กเนื้อชิ้นใหญ่ จะช่วยให้ท้องของเราไม่ทำงานหนักเกินไปในการย่อยอาหารที่ย่อยยาก ๆ อย่างนั้น และที่สำคัญ มันทำให้น้ำหนักของคุณลดลงได้ โดยคณะนักวิจัยพบว่า คนที่รับประทานซุปก่อนเริ่มอาหารจานหลักเป็นประจำนั้น สามารถทำให้น้ำหนักลดลงได้ถึง 13 pound เมื่อเทียบกับการไม่เคยรับประทานซุปเพื่อเรียกน้ำย่อยเลยเป็นเวลาถึง 1 ปี


    6. ระบายความเครียดลงกระดาษ ในแต่ละวัน พบความเครียด พบปัญหาอะไรมาบ้าง ให้ใช้เวลาสักสองสามนาที เขียนระบายลงในกระดาษ หรืออาจจะเขียนอีเมล ส่งไปให้เพื่อน ๆ อ่านก็ได้ Dr. Pamela Peeke จาก University of Marryland บอกว่า วิธีการดังกล่าว เป็นการลดความเครียด และเมื่อความเครียดน้อยลง โรคภัยต่าง ๆ ก็ลดลงไปด้วย เคยมีการศึกษาจาก university of New York พบว่า ผู้ป่วยด้วยโรคหอบหืด และรูมาตอย จำนวน 47 คน จาก 100 คน มีอาการดีขึ้น หลังจากได้รับคำแนะนำให้ถ่ายเทความเครียดลงในกระดาษ 


    7. ทำตัวเองให้เป็นคนมีความสุขสนุกสนาน เพื่อชีวิตที่ยาวขึ้น คุณอาจจะหาความสุขใส่ตัว ด้วยการชื่นชมงานศิลปะ การดูหนัง ฟังเพลง มันอาจจะทำให้คุณมีอายุยืนขึ้น เพราะจากการศึกษาคนจำนวน 12,000 คน ในสวีเดน พบว่า คนที่หาความสุขใส่ตัวด้วยวิธีการข้างต้น มีอายุยืนกว่าคนที่ชีวิตปราศจากกิจกรรมดังกล่าวถึง 36% 


    8. เปิดเครื่องเสียงฟัง เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย นักวิจัยบอกว่า การฟังเพลงอย่างเช่นเพลง Jazz เบา ๆ สักวันละครึ่งชั่วโมง ช่วยกระตุ้นระบบการสร้างภูมิคุ้มกันโรคภัยต่าง ๆ ให้กับร่างกายได้ เพราะจากการเก็บข้อมูลจากนักเรียนจำนวน 66 คน ใน Wilkes University พบว่า 14% ของคนที่ฟังเพลงเป็นประจำ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากการที่ร่างกายได้ผ่อนคลายด้วย 


    9. เล่นเกมส์ฝีกสมองอย่างเช่น puzzle บ้างเพื่อป้องกัน alzheimer เกมส์ดังกล่าวนับว่าเป็นการบริหารสมอง ช่วยชลอการเกิดโรคความจำเสื่อม โดย Dr.James Mortimer จาก University of South Florida บอกว่า มันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ก็ในเมื่อร่ายการส่วนอื่น ๆ ยังต้องการการออกกำลังกาย ทำไมสมองจึงไม่ต้องการล่ะ


    10. แอบงีบระหว่างวันเพื่อจิตใจที่สดใสขึ้น เพียงแค่เอนหลัง หลับตา ผ่อนคลายด้วยการงีบสักไม่กี่นาที จะทำให้จิตใจสดใสขึ้น พร้อมที่จะรับรู้สิ่งใหม่ (แต่ไม่ใช่งีบในห้องเรียนระหว่างเรียนหล่ะ งีบระหว่างพักก็ได้) พร้อมต่อการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีนี้ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ใช้เวลาของการเบรคดื่มกาแฟ นั่นแหละมางีบหลับ บางคนเห็นว่าแค่ 15 นาที นอนไม่พอ ซึ่งนั่นไม่จริงเลย การงีบในเวลาเพียงแค่นั้น ดีกว่าการนำคาเฟอีน (หรือน้ำอัดลมที่ นนร.ชอบดื่มกัน) เข้าไปทำร้ายร่างกายตั้งไม่รู้เท่าไหร่ 


    11. หมุนเพื่อลดอาการเส้นตึงเส้นยึดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการหมุนคอ หมุนไหล่ หรืออาจจะนำลูกเทนนิสมา คลึงแผ่นหลัง หรือจุดที่คุณรู้สึกปวดเมื่อย ถ้าอยู่คนเดียว ก็ให้ไปยืนหันหลังให้กำแพง เอาลูกเทนนิสมาไว้ตรงกลางระหว่างหลังคุณกับกำแพงแล้วก็เคลื่อนย้ายตัวไปมาตามจุดที่ปวดเมื่อยเหมือนเป็นการนวดตัวเอง 


    12. โยคะบ้างก็ดี อาจจะใช้เวลาสัก 3 ถึง 5 นาทีต่อวัน ฝึกโยคะสักสองสามท่า ลดความปวดเมื่อยแถมยังช่วยให้จิตใจสงบอีกด้วย 


    13. อย่าลืมสวมแว่นตากันแดด เวลาจะออกแดด เพราะจากรายงานของ American Medical Association พบว่า แว่นกันแดดนี้ ลดความเสี่ยงของต้อกระจกได้มากถึง 2 ใน 3 


    14. พยายามเดินเพื่อลดน้ำหนัก การเดินเป็นการช่วยเผาไหม้ calorie ในร่างกาย เพียงการเดินวันละ 10 นาที ก็จะทำให้น้ำหนักเราลดไปได้ประมาณปีละ 5 pound 


    15. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ถึง 3 ครั้ง ครั้งละ 20 ถึง 30 นาที อาจจะเลือกท่าออกกำลังสักสองสามท่า ทำสลับไปมา ในแต่ละท่าอย่าลือพักสักประมาณ 15 วินาที 


    16. แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ เพื่อยืดอายุของตัวคุณเอง เพราะมีรายงานออกมาแล้วว่า ในปากและฟันของเรามันมีแบคทีเรียมากมาย การทำความสะอาดเป็นประจำป้องกันการเกิดโรคร้ายหลาย ๆ อย่าง อีกทั้งยังมีการศึกษาจาก University of Illinois พบว่าการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำทุกวันจะทำให้เรารู้สึกเป็นหนุ่มสาวกว่าความเป็นจริงถึง 6 ปี 


    17. ต่อต้านการเกิดโรคหวัดด้วยการบอกตัวคุณและลูก ๆ ของคุณให้ล้างมือบ่อย ๆ อย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง นอกจากนั้นยังลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคท้องร่วงได้อีกด้วย 


    18. เครื่องเทศรสเผ็ด ช่วยต่อต้านแบคทีเรียที่อยู่ในอาหาร ไม่ว่าจะเป็น กระเทียม ซีนามอน ออริกาโน ใส่เครื่องเทศเหล่านี้เข้าไปในอาหารที่รับประทาน เช่น เนื้อสัตว์ หรือแม้กระทั่งแฮมเบอร์เกอร์ จะช่วยต่อต้านแบคทีเรียบางชนิดที่มากับอาหาร ซึ่งแบคทีเรียดังกล่าว อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อไตได้ 


    19. อย่าซื้อหายามารับประทานเองเพื่อแก้ไขปัญหาการเจ็บป่วยเรื้อรังบางอย่าง เช่น ปวดท้องเป็นประจำ ปวดศีรษะ เป็นประจำ เพราะอาจจะทำให้เกิดผลกระทบข้างเคียงที่รุนแรงได้ 
    ดังนั้น ทางที่ดีเมื่อมีอาการเจ็บป่วยควรพบแพทย์ 


    20. ตรวจร่างกายและตรวจเลือดเป็นประจำ อย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อหาความผิดปกติ 
    และป้องกันการรุกลามของโรคร้ายแรงบางชนิดเสียแต่เนิ่น ๆ

    การดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ


    พฤติกรรมที่คนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหม1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
    2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
    3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
    4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
    5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น
    เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของตัวเองหรือยังครับ
    ข้อหนึ่ง   เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน
    ข้อสอง   คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลักส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจแต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวันไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวันเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว(แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
    สูตรคือ(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้
    ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ
    ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกัน สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับแต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ
    ข้อสาม    อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกายกระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะและลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกันจนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว
    ข้อสี่     ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไปจิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับคนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าวเขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูดเข้าเส้นเลือดเพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควรก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับและอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้วอย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไรกักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ
    ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำเพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ)หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัวเบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้าเลิกเบียร์กันไปแต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิพอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ

    อยากสุขภาพดี ต้อง ทำอย่างไรบ้าง



    ข้อแนะนำ 20 อย่างสำหรับคนที่อยากจะมีสุขภาพดี ถ้าหากว่าคุณสามารถปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้ได้อย่างสม่ำเสมอ หนทางสู่สุขภาพที่ดีของคุณรออยู่อีกไม่ไกล 

    1. ต่อต้านมะเร็งเต้านมด้วยการรับประทาน broccoli ให้มาก ๆ หน่อย เพราะในหน่อ broccori มีสารอาหารที่มีคุณค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง sulforaphane ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือ antioxidant ก่อนหน้านี้ John Hopkins University เคยศึกษาเอาไว้ว่า sulforaphan สามารถลดความเสี่ยงของการพัฒนามะเร็งเต้านมในหนูทดลองได้ถึง 60% ดังนั้นการรับประทาน broccoli สดประมาณ 1 ounce จะทำให้คุณได้รับสารสาหาร sulforaphane ประมาณ 73 มิลลิกรัม แต่ถ้ารับประทานสุก ควรจะเพิ่มปริมาณ เพื่อให้ได้สารอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณเท่ากัน 

    2. พยายามใช้ถั่วเหลืองมาเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารแต่ละมื้อ เพราะถั่วเหลืองนี้ ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับทางเดินเส้นเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ ซึ่งถ้าหากว่าคุณต้องการจะลดปริมาณ cholesterol ลง 11% ใน 6 สัปดาห์ ลองนำถั่วเหลืองมาปรุงอาหารให้เป็นประจำ นอกจากมันจะทำให้คุณมีน้ำหนักเข้าที่เข้าทางแล้ว มันยังช่วยลดความดันเลือดให้คุณได้ด้วย จากการศึกษาของ Wake Fostest University ใน North Carolinar ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้หญิงอายุระหว่าง 45 ถึง 60 ปี จำนวน 43 คน พบว่า เพียงแป้งถั่วเหลืองในปริมาณ 2 ช้อนชา ใส่ลงไปในอาหาร อย่างเช่น นมสด น้ำส้ม หรืออาหารธัญพืช หรือ นมถั่วเหลืองวันละแก้ว หรือ เต้าหู้ก็จะทำให้คุณเห็นความแตกต่างของสุขภาพที่ดีขึ้นแล้ว นอกจากถั่วเหลืองจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และลดความดันเลือดแล้ว นายแพทย์ Gregory Burke จากPublic Health Sciences ยังบอกอีกว่า ถั่วเหลืองอาจจะช่วยป้องกันคุณจาก arteroilosclerosisหรือมะเร็งได้ด้วย 

    3. รับประทาน folic acid (ได้แก่ ยีสต์ ตับไต เนื้อสัตว์ นม ถั่ว หน่อไม้ เห็ด และผักใบเขียว)จะช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ได้ถึง 75% ยิ่งไปกว่านั้น เรายังได้ทราบกันมาอีกว่ากรดชนิดนี้ยังช่วยต่อต้านความผิดปกติในการให้กำเนิดทารก และต่อต้าน homocysteine ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจได้ด้วย เมื่อไม่นานมานี้ มีการศึกษาจาก Harvard พบอีกว่า ผู้หญิงที่บริโภค folic acid มากกว่า 400 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลานานถึง 15 ปี ความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้จะลดลงถึง 75% ในขณะที่ผู้หญิงที่บริโภคสารอาหารดังกล่าว เป็นเวลานาน 5 ถึง 10 ปี ความเสี่ยงของโรคจะลดลง 20% 

    4. รับประทาน blueberries เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดกับดวงตา และทางเดินเส้นเลือดที่จะไปหล่อเลี้ยงหัวใจ ผล blueberries ให้ทั้งวิตามิน E และวิตามิน C รวมทั้งยังมีสรรพคุณในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด Dr. Mary Ann Lila Smith จาก University of Illinois บอกว่า เธอและคณะนักวิจัยแนะนำให้รับประทานผล blueberries เพื่อเพิ่มศักยภาพในการมองเห็นช่วงกลางคืน อีกทั้งผลไม้ชนิดนี้ ยังช่วยชลอความเสื่อมของกล้ามเนื้อและเส้นเลือดที่จะไปหล่อเลี้ยงดวงตา 

    5. ก่อนรับประทานอาหารมื้อหนัก ควรรับประทานซุปสักถ้วยหนึ่งก่อน เพราะจากการศึกษาของ Baylor College of Madicine ใน Houston พบว่า ซุปร้อน ๆ ก่อนที่จะรับประทานอาหารหลักของมื้ออย่างเช่น สเต็กเนื้อชิ้นใหญ่ จะช่วยให้ท้องของเราไม่ทำงานหนักเกินไปในการย่อยอาหารที่ย่อยยาก ๆ อย่างนั้น และที่สำคัญ มันทำให้น้ำหนักของคุณลดลงได้ โดยคณะนักวิจัยพบว่า คนที่รับประทานซุปก่อนเริ่มอาหารจานหลักเป็นประจำนั้น สามารถทำให้น้ำหนักลดลงได้ถึง 13 pound เมื่อเทียบกับการไม่เคยรับประทานซุปเพื่อเรียกน้ำย่อยเลยเป็นเวลาถึง 1 ปี

    6. ระบายความเครียดลงกระดาษ ในแต่ละวัน พบความเครียด พบปัญหาอะไรมาบ้าง ให้ใช้เวลาสักสองสามนาที เขียนระบายลงในกระดาษ หรืออาจจะเขียนอีเมล ส่งไปให้เพื่อน ๆ อ่านก็ได้ Dr. Pamela Peeke จาก University of Marryland บอกว่า วิธีการดังกล่าว เป็นการลดความเครียด และเมื่อความเครียดน้อยลง โรคภัยต่าง ๆ ก็ลดลงไปด้วย เคยมีการศึกษาจาก university of New York พบว่า ผู้ป่วยด้วยโรคหอบหืด และรูมาตอย จำนวน 47 คน จาก 100 คน มีอาการดีขึ้น หลังจากได้รับคำแนะนำให้ถ่ายเทความเครียดลงในกระดาษ 

    7. ทำตัวเองให้เป็นคนมีความสุขสนุกสนาน เพื่อชีวิตที่ยาวขึ้น คุณอาจจะหาความสุขใส่ตัว ด้วยการชื่นชมงานศิลปะ การดูหนัง ฟังเพลง มันอาจจะทำให้คุณมีอายุยืนขึ้น เพราะจากการศึกษาคนจำนวน 12,000 คน ในสวีเดน พบว่า คนที่หาความสุขใส่ตัวด้วยวิธีการข้างต้น มีอายุยืนกว่าคนที่ชีวิตปราศจากกิจกรรมดังกล่าวถึง 36% 

    8. เปิดเครื่องเสียงฟัง เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย นักวิจัยบอกว่า การฟังเพลงอย่างเช่นเพลง Jazz เบา ๆ สักวันละครึ่งชั่วโมง ช่วยกระตุ้นระบบการสร้างภูมิคุ้มกันโรคภัยต่าง ๆ ให้กับร่างกายได้ เพราะจากการเก็บข้อมูลจากนักเรียนจำนวน 66 คน ใน Wilkes University พบว่า 14% ของคนที่ฟังเพลงเป็นประจำ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากการที่ร่างกายได้ผ่อนคลายด้วย 

    9. เล่นเกมส์ฝีกสมองอย่างเช่น puzzle บ้างเพื่อป้องกัน alzheimer เกมส์ดังกล่าวนับว่าเป็นการบริหารสมอง ช่วยชลอการเกิดโรคความจำเสื่อม โดย Dr.James Mortimer จาก University of South Florida บอกว่า มันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ก็ในเมื่อร่ายการส่วนอื่น ๆ ยังต้องการการออกกำลังกาย ทำไมสมองจึงไม่ต้องการล่ะ

    10. แอบงีบระหว่างวันเพื่อจิตใจที่สดใสขึ้น เพียงแค่เอนหลัง หลับตา ผ่อนคลายด้วยการงีบสักไม่กี่นาที จะทำให้จิตใจสดใสขึ้น พร้อมที่จะรับรู้สิ่งใหม่ (แต่ไม่ใช่งีบในห้องเรียนระหว่างเรียนหล่ะ งีบระหว่างพักก็ได้) พร้อมต่อการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีนี้ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ใช้เวลาของการเบรคดื่มกาแฟ นั่นแหละมางีบหลับ บางคนเห็นว่าแค่ 15 นาที นอนไม่พอ ซึ่งนั่นไม่จริงเลย การงีบในเวลาเพียงแค่นั้น ดีกว่าการนำคาเฟอีน (หรือน้ำอัดลมที่ นนร.ชอบดื่มกัน) เข้าไปทำร้ายร่างกายตั้งไม่รู้เท่าไหร่ 

    11. หมุนเพื่อลดอาการเส้นตึงเส้นยึดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการหมุนคอ หมุนไหล่ หรืออาจจะนำลูกเทนนิสมา คลึงแผ่นหลัง หรือจุดที่คุณรู้สึกปวดเมื่อย ถ้าอยู่คนเดียว ก็ให้ไปยืนหันหลังให้กำแพง เอาลูกเทนนิสมาไว้ตรงกลางระหว่างหลังคุณกับกำแพงแล้วก็เคลื่อนย้ายตัวไปมาตามจุดที่ปวดเมื่อยเหมือนเป็นการนวดตัวเอง 

    12. โยคะบ้างก็ดี อาจจะใช้เวลาสัก 3 ถึง 5 นาทีต่อวัน ฝึกโยคะสักสองสามท่า ลดความปวดเมื่อยแถมยังช่วยให้จิตใจสงบอีกด้วย 

    13. อย่าลืมสวมแว่นตากันแดด เวลาจะออกแดด เพราะจากรายงานของ American Medical Association พบว่า แว่นกันแดดนี้ ลดความเสี่ยงของต้อกระจกได้มากถึง 2 ใน 3 

    14. พยายามเดินเพื่อลดน้ำหนัก การเดินเป็นการช่วยเผาไหม้ calorie ในร่างกาย เพียงการเดินวันละ 10 นาที ก็จะทำให้น้ำหนักเราลดไปได้ประมาณปีละ 5 pound 

    15. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ถึง 3 ครั้ง ครั้งละ 20 ถึง 30 นาที อาจจะเลือกท่าออกกำลังสักสองสามท่า ทำสลับไปมา ในแต่ละท่าอย่าลือพักสักประมาณ 15 วินาที 

    16. แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ เพื่อยืดอายุของตัวคุณเอง เพราะมีรายงานออกมาแล้วว่า ในปากและฟันของเรามันมีแบคทีเรียมากมาย การทำความสะอาดเป็นประจำป้องกันการเกิดโรคร้ายหลาย ๆ อย่าง อีกทั้งยังมีการศึกษาจาก University of Illinois พบว่าการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำทุกวันจะทำให้เรารู้สึกเป็นหนุ่มสาวกว่าความเป็นจริงถึง 6 ปี 

    17. ต่อต้านการเกิดโรคหวัดด้วยการบอกตัวคุณและลูก ๆ ของคุณให้ล้างมือบ่อย ๆ อย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง นอกจากนั้นยังลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคท้องร่วงได้อีกด้วย 

    18. เครื่องเทศรสเผ็ด ช่วยต่อต้านแบคทีเรียที่อยู่ในอาหาร ไม่ว่าจะเป็น กระเทียม ซีนามอน ออริกาโน ใส่เครื่องเทศเหล่านี้เข้าไปในอาหารที่รับประทาน เช่น เนื้อสัตว์ หรือแม้กระทั่งแฮมเบอร์เกอร์ จะช่วยต่อต้านแบคทีเรียบางชนิดที่มากับอาหาร ซึ่งแบคทีเรียดังกล่าว อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อไตได้ 

    19. อย่าซื้อหายามารับประทานเองเพื่อแก้ไขปัญหาการเจ็บป่วยเรื้อรังบางอย่าง เช่น ปวดท้องเป็นประจำ ปวดศีรษะ เป็นประจำ เพราะอาจจะทำให้เกิดผลกระทบข้างเคียงที่รุนแรงได้ 
    ดังนั้น ทางที่ดีเมื่อมีอาการเจ็บป่วยควรพบแพทย์ 

    20. ตรวจร่างกายและตรวจเลือดเป็นประจำ อย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อหาความผิดปกติ 
    และป้องกันการรุกลามของโรคร้ายแรงบางชนิดเสียแต่เนิ่น ๆ

    ผักผลไม้ 7 อย่าง ที่คุณผู้หญิง ไม่ควรพลาด

    ลูกพรุน (Prunes)

    ลูกพรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญพรุน ช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผู้หญิงเราเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิต คือวัยยี่สิบห้า ร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ มากมาย ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มด้วยเลือดฝาด ก็เริ่มหมองคล้ำผิวพรรณจะเป็นสีชมพู- ระเรื่อหรือซีดโทรม เกิดได้หลายสาเหตุ เช่นผิวมีความหนามากขึ้นตามวัย จนมองไม่เห็น เลือดฝาด หรือเลือดไม่มีให้ฝาด คือเป็นโรคโลหิตจางนั่นเอง พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่ โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอางดู เป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด ลองรับประทานลูกพรุนสดๆ หรือลูกพลัมดูสิค่ะไม่เลวเลยทีเดียว

    ถั่ว

    ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม“ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่า เมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรี ที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก

    บรอคโคลี่

    เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย เพราะบรอคโคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติ ซึ่งเจ้าตัวซีลีเนียมนี้แหละค่ะ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลีเนียม จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว ) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย

    แอปเปิ้ล

    มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ “เพคติน”แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว “เพคติน”นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอลหากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูก จะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาล ในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 % ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึม น้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็ว และนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้น ความอยากอาหารจึงลดลงทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิด หรือ อ่อนเพลีย แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวัน ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลจากการวิจัยชี้ว่า เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมัน และแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ล จะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้น และพาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย

    กล้วยไข่

    กล้วยทุกชนิดดีต่อสุขภาพ แต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกาย จะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ ขณะนั้นเองมีสองสิ่งที่สำคัญเกิดขี้นในร่างกายของเรา ซึ่งก็คือ สิ่งแรก เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น สิ่งที่สองความสามารถในการซ่อมแซม ส่วนที่สึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถ ในการจำกัดอนุมูลอิสระ ( Detoxification )ก็ลดลงอย่างน่าตกใจเช่นกัน ดังนั้น กลยุทธ์ที่คุณจะสู้กับความแก่ด้วยตนเอง ก็คือ คุณต้องรับประทานอาหาร ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระให้มาก ซึ่งสารนี้เรารู้จักในชื่อที่ เรียกว่า แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants) ซึ่งในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม

    ฝรั่ง

    คุณผู้หญิงทั้งหลายทราบหรือไม่คะว่าฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซี มีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึง ไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เอง ที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพ ผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆ ทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆ น่าจะลองหันมารับประทานฝรั่งเป็นประจำนะคะ

    ส้ม

    แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกาก จะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับ คนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทน จะได้ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วยนะคะ 

    ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นสำหรับคุณๆ ผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้ว ผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน สถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกา จึงได้แนะนำขนาดในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทานรวมกันให้ได้ วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆ ทั้งหลาย มีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวนค่ะ